งานแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน

Nature-based Solutions (NbS) คืออะไร?

Nature-based Solutions คือโครงการที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกระบวนการทางธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศและสังคม โดยโครงการเหล่านี้มุ่งหวังที่จะฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

Nature-based Solutions ที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง

ตามหลักการ “ปลูกป่า ปลูกคน” เราให้ความสำคัญกับชุมชนท้องถิ่นในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน เพราะเราเชื่อว่าการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปกป้องระบบนิเวศนั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชน วิธีการนี้จึงนำไปสู่ผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่ยั่งยืนและมีความหมาย

คาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน

โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จัดตั้งขึ้นโดยการนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 30 ปีในด้านการอนุรักษ์ป่าและการพัฒนาชุมชนมาเป็นรากฐานในการพัฒนาโครงการที่ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยโครงการนี้ใช้กลไกคาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการเชื่อมชุมชนต้นน้ำที่อาศัยอยู่กับป่าชุมชน และภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้เกิด win-win-win situation โดยป่าได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู ชุมชนได้รับการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพชีวิต และองค์กรธุรกิจได้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและได้จัดทำฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับพื้นที่ดอยตุง โดยชุดข้อมูลนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ นอกจากนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมมือกับองค์กรระดับประเทศและระดับสากลเพื่อผลักดันนโยบายด้านความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย พร้อมมองหาแนวทางใหม่ ๆ ในการนำความเชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลระหว่างชุมชนกับธรรมชาติ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

โครงสร้างการดำเนินงาน:

โครงสร้างการดำเนินงาน:
โครงสร้างการดำเนินงาน:

พื้นที่การดำเนินงาน

ผลประโยชน์ที่เราสร้าง

ป่าชุมชน
41,310
เฮกตาร์ท

ทัั่วประเทศไทย
ที่ได้รับการปกป้องและดูแล

281
ชุมชน


150,000
คน

เงินทุน 2 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ

เข้าถึงชุมชนสำหรับกองทุนจัดการไฟป่าและกองทุนพัฒนาชุมชน

กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
83,890
ตัน

(ข้อมูลจาก 3 ระยะแรก
ของการดำเนินงาน)

ไฟป่าลดลง

โดยรวมในทุกระยะ
ของการดำเนินงาน

พื้นที่ไฟป่า (% ของพื้นที่ทั้งหมดสำหรับระยะที่ 1)

Our Partners

กลต

ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

พันธมิตรในการนำแนวทางด้านความยั่งยืนสู่การปฏิบัติ
เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

บทนำ

ด้วยประสบการณ์การทำงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กว่าสี่ทศวรรษในการสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ ผ่านการยกระดับคุณภาพชีวิตและการฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติ มูลนิธิฯ เชื่อมั่นว่าเราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้ ภารกิจหลักของมูลนิธิฯ คือการพัฒนาศักยภาพของคนให้สามารถเติบโตและก้าวผ่านความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงการรักษาสมดุลระหว่างสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ มูลนิธิฯ ดำเนินงานผ่านแนวทางแบบองค์รวมและการบูรณาการ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของชุมชนที่มีความซับซ้อน พร้อมกับสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ผู้เชี่ยวชาญ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และชุมชนระดับรากหญ้า เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกัน

หัวใจสำคัญของแนวทางการดำเนินงานคือการให้ความสำคัญกับคน โดยให้เขาเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาตนเอง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและครอบคลุมคนทุกกลุ่มโดยปราศจากอคติด้านเชื้อชาติ ศาสนา เพศ วัฒนธรรม หรือภูมิหลัง นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ความโปร่งใส การแก้ปัญหาที่อ้างอิงข้อมูลและหลักฐาน (Evidence-based, data-driven solutions) และมุ่งเน้นการวัดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในพื้นที่

ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาและการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง มูลนิธิฯ มีความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการสร้างผลกระทบเชิงบวก ผ่านการเปลี่ยนแปลงระบบและพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน พร้อมทั้งสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง แบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีผ่านศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ของมูลนิธิฯ และขยายเครือข่ายความร่วมมือให้กว้างไกลยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความโลภที่นำไปสู่การกระทำผิดกฎหมาย เป็นต้น การผนึกกำลังและร่วมมือกันลงมือทำเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง มูลนิธิฯ ตระหนักถึงความเร่งด่วนและความท้าทายเหล่านี้ มูลนิธิฯ จึงได้จัดตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (Sustainability Advisory) ขึ้นเพื่อใช้จุดแข็งของมูลนิธิฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ผ่านการเป็นผู้ลงมือทำจริง พี่เลี้ยงพาทำ ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และผู้เชื่อมประสานทุกภาคส่วนและทุกระดับเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

จุดเด่นของมูลนิธิฯ

  • ที่ปรึกษาเชิงปฏิบัติการ (Last-mile implementation solutions) เพื่อช่วยในการปฏิบัติด้านความยั่งยืนตามวิสัยทัศน์องค์กรให้เกิดขึ้นจริง และสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน
  • ตัวอย่างความสำเร็จด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ยาวนาน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริงและสามารถวัดผลได้
  • ความสามารถในการสร้างการมีส่วนร่วมและศักยภาพในการเชื่อมโยงกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และภาคประชาสังคม เพื่อขยายผลประโยชน์ร่วมและผลกระทบที่เกิดขึ้น
  • พื้นที่สำหรับการเรียนรู้และตัวอย่างการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจผ่านตัวอย่างเชิงประจักษ์ และเชื่อมโยงแนวคิดเชิงทฤษฎีกับการปฏิบัติจริง
  • การเชื่อมโยงมาตรฐานสากลเข้ากับผลกระทบของการดำเนินงาน โดยประยุกต์ใช้ข้อกำหนดของมาตรฐานต่าง ๆ ให้เข้ากับบริบทของโครงการ และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส

สิ่งที่มูลนิธิฯ สามารถช่วยในการดำเนินการได้

  • วางแผนกลยุทธ์และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางความยั่งยืนขององค์กร ให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจและการดำเนินงานขององค์กร แนวโน้มและการดำเนินงานในอุตสาหกรรม ตลอดจนผลกระทบ ความเสี่ยง และโอกาสที่องค์กรเผชิญ
  • ร่วมมือพัฒนาโครงการความยั่งยืนที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมการประเมินความต้องการของชุมชน การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การออกแบบโครงการและแผนปฏิบัติการ การดำเนินงานเชิงเทคนิค การบริหารโครงการ ไปจนถึงการประเมินผลกระทบและข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา
  • เป็นที่ปรึกษาเชิงปฏิบัติการในประเด็นด้านความยั่งยืนเฉพาะทางที่อาศัยความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคและการบริหารจัดการ โดยอิงจากประสบการณ์การดำเนินงานจริงของมูลนิธิฯ ครอบคลุมการจัดการก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาชุมชน การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) และอื่น ๆ
  • ให้คำแนะนำในประเด็นด้านความยั่งยืนอื่น ๆ ตามบริบทและเส้นทางความยั่งยืนของแต่ละองค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรมีรากฐานที่แข็งแกร่ง มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนได้

แบ่งปันประสบการณ์ของมูลนิธิฯ

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จากความสำเร็จของมูลนิธิฯ ในการจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และเส้นทางสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circularity) ที่เราดำเนินมา …

ความเชี่ยวชาญของมูลนิธิฯ

  • คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์
  • กลยุทธ์และแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
  • การจัดการขยะ (ขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์)
  • การรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์ (Extended producer responsibility: EPR)
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับผลิตภัณฑ์และองค์กร

ความหลากหลายทางชีวภาพ และธรรมชาติ

โครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ของมูลนิธิฯ มีรากฐานอยู่บนหลักการของการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ การบริหารจัดการน้ำจึงมักเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ได้ฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่ากว่า 600,000 ไร่ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งส่งผลให้ความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน มูลนิธิฯ มุ่งสานต่อจากข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในปีฐาน โดยดำเนินการ ประเมินและบริหารจัดการผลกระทบ ความเสี่ยง และการพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพ ในฐานะหนึ่งในผู้ริเริ่มนำกรอบ Task Force on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) มาประยุกต์ใช้ตั้งแต่ระยะแรก …

ความเชี่ยวชาญของมูลนิธิฯ

  • การวางแผน การดำเนินการ และการประเมินโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ
  • การประเมินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
  • การแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based solutions)
  • การปลูกป่า
  • การพัฒนา ติดตาม และประเมินโครงการคาร์บอนเครดิตในป่า
  • การขึ้นทะเบียนและการทวนสอบคาร์บอนเครดิต

การพัฒนาชุมชนและพันธมิตร

โมเดลการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของเรานำไปสู่การสร้างประโยชน์ร่วมกับทุกภาคส่วนและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ความเชี่ยวชาญของมูลนิธิฯ

  • การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • การสำรวจข้อมูลพื้นฐานและความต้องการของชุมชน
  • กลยุทธ์และการดำเนินการโครงการพัฒนาชุมชน (CSR/ CSV)
  • การพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม
  • การประเมินและการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม และสิ่งแวดล้อม
  • การศึกษาดูงาน การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในพื้นที่ และการอบรมเชิงเทคนิค
  • การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การจัดสัมมนา การประชุมด้ความยั่งยืน

ติดต่อเราเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

โทร: (66 2) 252 7114
Email: MFLFpartnership@doitung.org

UNODC ร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ หารือเรื่อง “การพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน” เพิ่มเติมมิติสิ่งแวดล้อมกับการแก้ปัญหาการปลูกพืชเสพติด

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการและหม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล (ที่ 2 จากขวา) เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เข้าพบหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการทำงานเรื่องพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืนและการแก้ไขวิกฤตปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกร่วมกับ สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) โดย นางกาดา ฟาติ วาลี (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา โดยมี นางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง (ที่ 3 จากขวา) เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา ร่วมประชุมด้วย ณ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เมื่อเร็วๆ นี้

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ขยายความสำเร็จ 36 ปี สานต่อตำราสมเด็จย่า ด้วยพันธกิจใหม่ ให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืน จับมือพันธมิตรรับมือวิกฤติโลกร้อน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำประสบการณ์ “ปลูกป่า ปลูกคน” ผ่านตำราแม่ฟ้าหลวงมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ มาปรับแผนองค์กรใหม่ ตั้งหน่วยงาน “ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน” ตอบโจทย์สภาวะโลกในปัจจุบัน ชวนเครือข่ายภาคีทั้งรัฐและเอกชนดำเนินงานรับมือวิกฤติโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนในมิติต่างๆ ของโลกให้ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วขึ้น

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ปรับทิศทางการดำเนินงานใหม่ในปี 2568 ให้เข้ากับบริบทสังคมและยุคสมัย โดยมี 4 กลุ่มงาน คือ กลุ่มงานด้านโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างครบวงจร กลุ่มงานด้านธุรกิจเพื่อสังคม ภายใต้แบรนด์ดอยตุง สร้างอาชีพที่มั่นคงและธุรกิจที่ยั่งยืน กลุ่มงานด้านการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) พัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และ กลุ่มงานด้านที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนองค์กร โดยใช้องค์ความรู้ความชำนาญและประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ที่มีมานานถึง 36 ปี และโครงการเชิงพื้นที่ในอดีตและปัจจุบัน เข้ามาดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างพร้อมขยายการพัฒนาไปใช้ทั้งในและต่างประเทศ

“เราปักธงตำราแม่ฟ้าหลวงฯ ให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับโลก ซึ่งไม่ได้ทำแต่เรื่องของความยั่งยืนในไทยเท่านั้นแต่เป็นการนำองค์ความรู้ที่มีไปเผยแพร่ทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้หลักการทรงงานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้แพร่หลาย โดยนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทั้งเวทีระหว่างประเทศและใช้กับองค์กรต่างๆ ให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ”

อย่างไรก็ตามสำหรับ 4 กลุ่มงานมีการแบ่งบทบาทการทำงานที่ชัดเจนคือ

กลุ่มงานด้านโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างครบวงจรทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ต่างๆ ทั้งในประเทศ อาทิ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ, โครงการร้อยใจรักษ์
อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่, โครงการผลิตภัณฑ์แปรรูปป่าเศรษฐกิจ จังหวัดน่าน, โครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกชาน้ำมันและพืชน้ำมันอื่นๆ เป็นต้น ส่วนโครงการในต่างประเทศ อาทิ เมียนมา อัฟกานิสถาน อินโดนีเซีย เป็นต้น

กลุ่มงานด้านธุรกิจเพื่อสังคม ภายใต้แบรนด์ดอยตุง เน้นการสร้างอาชีพที่มั่นคงและธุรกิจที่ยั่งยืนใน 5 กลุ่มธุรกิจย่อย ได้แก่ อาหารแปรรูป กาแฟและแมคคาเดเมีย หัตถกรรม คาเฟ่ดอยตุง เกษตรและท่องเที่ยว

กลุ่มงานการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมาปรับใช้กับป่าชุมชนใน พ.ศ. 2563 ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนริเริ่ม “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ขึ้นทะเบียนเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ภาคป่าไม้ ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดยผลจากการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2664 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่ 258,186 ไร่ ร่วมกับป่าชุมชน 281 ชุมชน 11 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร อุทัยธานี กระบี่ ยโสธร อำนาจเจริญ น่าน และลำปาง ประชาชนเข้าร่วมกว่า 150,000 คน และได้รับความได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานกว่า 25 แห่ง ทั้งภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจในการพัฒนาโครงการร่วมกัน เพื่อให้คาร์บอนเครดิตเป็นกลไกให้ชุมชนดูแลป่าและดูแลตัวเองได้พร้อมๆ กัน รวมทั้งมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาคนว่างงาน และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยภาคเอกชนในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจได้ด้วย พร้อมยังช่วยลดอัตราการเกิดไฟป่าให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ลดปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 จากไฟป่า

ขณะที่ กลุ่มงานด้านที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ที่ถือว่าเป็นนิวเอส เคิร์ฟ (new S-Curve) ที่สำคัญของมูลนิธิฯ เพื่อขยายการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างยิ่งขึ้น

งานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนถือว่าเป็นกลุ่มงานใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา เพราะโลกทั้งโลกกำลังมองหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยโลกนี้ได้ ขณะที่แม่ฟ้าหลวงฯ มีโซลูชันบางส่วนที่สามารถตอบโจทย์บางส่วนได้ถ้าธุรกิจเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ผลกระทบเชิงบวกจะกว้างมากขึ้นเหมือนการพัฒนาโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งเป็นโมเดลสำคัญ 100 ดอยตุง เราอยู่ในโลกที่ไม่มีเวลาแล้ว ดังนั้นวันนี้ต้องทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ กลุ่มงานด้านที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน จะเป็นการนำองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนมาแบ่งปันให้กับภาคเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆ ให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (last mile implementation solution) ผ่านการเป็นที่ปรึกษาเชิงปฏิบัติการ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผ่านการวางแผนและทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ การทำระบบ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือ การเรียกคืนบรรจุภัณฑ์, ความหลากหลายทางชีวภาพและการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ ผ่านการประเมินและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ การปลูกป่าและฟื้นฟูป่า การจัดการน้ำ, การพัฒนาชุมชน ผ่านการทำความเข้าใจชุมชนและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การทำโครงการพัฒนาชุมชน เป็นต้น เพื่อสร้างรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงบรรเทาปัญหาของประเทศในด้านความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อแก้ไขปัญหาและเกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน

ด้วยโครงสร้างการจัดการใหม่นี้ มูลนิธิฯเชื่อมั่นว่า จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรต่อไปในบริบททางสังคม และสิ่งแวดล้อมปัจจุบันและ อนาคตได้อย่างยั่งยืน ด้วยจุดมุ่งหมายหลักคือการสร้างคนที่มีคุณภาพ ผ่านทุกโครงการและกิจกรรมเพื่อร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ต่อไป

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (CND) สมัยที่ 68 ร่วมผลักดันแนวทางพัฒนาทางเลือก เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนในระดับโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดย ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหารและทีมงาน ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs – CND) สมัยที่ 68 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เมื่อเร็วๆ นี้

ในการประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้จัดกิจกรรมคู่ขนานภายใต้หัวข้อ “Addressing the Methamphetamine Crisis in the Mekong and Beyond” หรือ “การแก้ไขวิกฤตยาบ้าในลุ่มแม่น้ำโขงและภูมิภาค” ร่วมกับ ประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย และสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก (United Nations Office on Drugs and Crime, Southeast Asia and the Pacific – UNODC SEAP) ซึ่งนำเสนอประเด็นความท้าทายจากวิกฤตเมทแอมเฟตามีน โดยเฉพาะยาบ้าที่ลักลอบผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ผ่านมุมมองของประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกภูมิภาค พร้อมสะท้อนความพยายามของไทยในการสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน และการศึกษาวิจัยการรักษาผู้ติดยาบ้า

นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้จัดนิทรรศการในหัวข้อ “Methamphetamine Crisis in the Greater Mekong Sub-region” หรือ “วิกฤตยาบ้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” เพื่อนำเสนอสถานการณ์และผลกระทบของปัญหายาบ้าในภูมิภาค โดยร่วมมือกับ UNODC SEAP และได้รับการสนับสนุนจาก 6 ประเทศสมาชิกบันทึกความเข้าใจลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม นิทรรศการนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตเมทแอมเฟตามีนผ่านการแสดงภาพการจับกุมยาบ้าและไอซ์ล็อตใหญ่ในประเทศแถบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงลักษณะทางกายภาพและทางเคมีของยาบ้าและผลกระทบต่อร่างกายและสังคมจากการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์และความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในระดับสากล พร้อมเรียกร้องให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาบ้าและเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นยาเสพติดสังเคราะห์ที่กำลังเป็นปัญหาวิกฤตเร่งด่วนและส่งผลกระทบในวงกว้าง

การขับเคลื่อนแนวทางพัฒนาทางเลือกโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

ภายในงาน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังได้เข้าร่วมการประชุมคู่ขนานในหัวข้อ “Updating the UN Guiding Principles on Alternative Development (UNGP on AD): Towards More Human-Centered and Territorial Approaches” ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเน้นถึงผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทางเลือกครั้งที่ 9 (EGM on AD) เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและทบทวนหลักการแนวทางของสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (UNGP on AD)

ในการนี้ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้กล่าวว่า
“มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดจากรากฐาน โดยใช้แนวคิด People-Centered Approach หรือ การยึดคนเป็นศูนย์กลาง” โดยชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหายาเสพติดมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกพืชผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ แนวทาง “การพัฒนาทางเลือก” จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ชุมชนมีอาชีพที่มั่นคง ลดการพึ่งพากิจกรรมผิดกฎหมาย และสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืน

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นหารือคือการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำว่าการพัฒนาทางเลือกควรถูกมองว่าเป็นกลไกที่ช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การสร้างระบบคาร์บอนเครดิตที่สามารถพัฒนาเป็นรายได้ให้กับชุมชน ช่วยให้ประชาชนมีแรงจูงใจในการอนุรักษ์ป่าไม้และลดความเสี่ยงในการหันไปทำกิจกรรมผิดกฎหมาย

พร้อมกันนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคทางเพศ และการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมือง
ในกระบวนการพัฒนา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางนี้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมติระดับโลกเพื่อเสริมแนวทางพัฒนาทางเลือก

การประชุม CND สมัยที่ 68 ได้มีการรับรองข้อมติที่เสนอโดยสาธารณรัฐเปรูร่วมกับประเทศไทยและเยอรมนี
โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีบทบาทสำคัญในการเจรจาร่างข้อมติภายใต้หัวข้อ “Complementing the United Nations Guiding Principles on Alternative Development” โดยข้อมตินี้มุ่งเน้นการปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัยสอดคล้องกับความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้ชุมชนเปลี่ยนจากการพึ่งพายาเสพติดไปสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสมอภาค และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่มูลนิธิฯ เชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จมาเป็นเวลานาน

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในการผลักดันแนวทางพัฒนาทางเลือกให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับชุมชนทั่วโลก

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • การประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs: CND ) เป็นการประชุมระดับนานาชาติที่มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายและมาตรการควบคุมยาเสพติดในระดับโลก
  • โดย Commission on Narcotic Drugs หรือ CND เป็นคณะกรรมาธิการหนึ่งภายใต้คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC) มีภารกิจวางนโยบายด้านยาเสพติดของสหประชาชาติ ประกอบด้วยสมาชิก 53 ประเทศ โดยไทยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก CND มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2516

เสวนาพิเศษระดับ CEO เรื่อง Climate Tipping Point, A Race Against Time เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของสภาพภูมิอากาศ

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) ได้เชิญ ม.ล. ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ให้เป็น Keynote Speaker ในงาน “Exclusive Luncheon Roundtable: Climate Tipping Point, A Race Against Time” บรรยายให้กับ CEO และผู้บริหาร 20 ท่านจากองค์กรชั้นนำของประเทศที่มีบทบาทสำคัญทั้งในภาคการเงินและตลาดทุมร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ขององค์กรให้เปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจโลกที่มีคาร์บอนต่ำ และมีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

โดย ม.ล. ดิศปนัดดา ได้เล่าถึงประสบการณ์การจากการดำเนินงานของมูลนิธิฯ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 36 ปี ตามแนวทาง “ปลูกป่า ปลูกคน” ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนได้นำไปสู่การฟื้นคืนพื้นที่ป่าและการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีคาร์บอนเครดิตเป็นผลพลอยได้เปรียบเสมือน passive income ให้กับชุมชน เป็นการสนับสนุนการเดินทางสู่เป้าหมาย Net Zero และ Nature Positive ของโลก

นอกจากนั้น ม.ล. ดิศปนัดดา ได้แบ่งปันเกี่ยวกับเทรนด์โลกที่ผู้นำภาคการลงทุนและภาคธุรกิจชั้นนำหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญขององค์กรและในอนาคตจะสามารถตีมูลค่าได้ รวมทั้งสามารถสร้างทั้งความเสี่ยงและโอกาสให้กับบริษัท และเป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของโลก สถาบันการลงทุนชั้นนำของโลก Lombard Odier พิสูจน์จากตัวอย่างโครงการ regenerative coffee (กาแฟเชิงฟื้นฟู) ว่า IRR สูงถึง 20%

ทั้งนี้ ม.ล. ดิศปนัดดา เน้นย้ำว่า โลกเราไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ในปีนี้ในทุกเดือนอุณหภูมิโลกเราเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว สำหรับทุกๆ 1 องศาเซลเซียสที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้น ชั้นบรรยากาศจะเก็บกักความชื้นเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ส่งผลให้เกิดละอองน้ำฝนมากขึ้นและฝนตกหนักมากอย่างที่เห็นกันบ่อยยิ่งขึ้น หากประเทศไทยไม่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยบรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะล้าหลังประเทศอื่นๆ ในการดึงดูดนักลงทุน

ในงานดังกล่าว นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมแบ่งปันเกี่ยวกับการดำเนินงานของทั้งสองกลุ่มบริษัทในด้านความยั่งยืนและการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแสดงให้เห็นตัวอย่างชัดเจนของภาคธุรกิจในการกำหนด

กลยุทธ์และดำเนินการด้านความยั่งยืนในระยะราวให้เป็นส่วนเดียวกับกลยุทธ์หลักของธุรกิจ และนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น ผู้บริหารท่านอื่นๆ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และเน้นย้ำการผนึกกำลังร่วมกันเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมสำหรับประเทศไทย

เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” ชวนปล่อยใจ ปล่อยจอย ในดินดอยมหัศจรรย์

เชียงราย – หน้าหนาวนี้ เตรียมพบกับเทศกาลที่ทุกคนรอคอย! “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” งานที่นำพาความสุข ความอบอุ่น และความประทับใจมาสู่ดอยสูง พร้อมเปิดตัวธีมใหม่สุดพิเศษ “WINTER WONDERDOI ปล่อยใจ ปล่อยจอย ในดินดอยมหัศจรรย์ DoiTung x NEWYEAR”

พบกับความพิเศษสุดเมื่อศิลปินป๊อปอาร์ตรุ่นใหม่อย่าง “NEWYEAR ปภากร ศรีกัลยกร” มาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสัตว์หายากบนดอยตุง อาทิ แมวดาว นางอาย ตัวตุ่น นกโพระดก เป็นต้นซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่เริ่มกลับมาอุดมสมบูรณ์ผลจาก การดูแลป่าดอยตุงมากว่า 36 ปีออกแบบเป็นตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์สุดน่ารักกระจายอยู่ทั่วสวนดอกไม้บนดอย ให้ตามเช็คอินถ่ายรูปเก็บความประทับใจกลับบ้านที่จะทำให้ทุกการเดินทางของคุณเต็มไปด้วยสีสัน ความสุข และแรงบันดาลใจ

เทศกาลนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึง 26 มกราคม 2568 เปิดให้บริการทุก วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. ณ โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย งานนี้เหมาะ สำหรับทุกคนในครอบครัว ทั้งสายรักธรรมชาติ สายแชะภาพ หรือสายชิม ไม่ว่าคุณจะเป็น นักท่องเที่ยว ที่ต้องการพักผ่อนท่ามกลางอากาศหนาว หรือนักสำรวจที่อยากสัมผัสความงามของวัฒนธรรม ชนเผ่า เทศกาลนี้มีสิ่งที่ตอบโจทย์ทุกคนรออยู่

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติงาน/ ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า

“รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเติบโตของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงในทุกๆ ปี โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 แล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แห่งความสุขสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ยังสะท้อนถึง ความมุ่งมั่นของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในการพัฒนาชุมชนและฟื้นฟูธรรมชาติอย่างยั่งยืน ปีนี้เรานำเสนอธีม ‘WINTER WONDERDOI’ ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของดอยตุง ผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่ผสมผสาน อย่างลงตัว”

“ดอยตุง คือเรื่องราวความสำเร็จที่เกิดจากการพัฒนาภายใต้แนวคิด “คนอยู่ร่วมกับป่า” สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเล็งเห็นถึงศักยภาพของดอยตุงและฟื้นฟูพื้นที่จากการปลูกฝิ่น และการทำลายป่า ให้กลายเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ วันนี้ดอยตุง ไม่เพียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในด้าน การอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาชุมชน และการส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ผมขอขอบคุณทีมงานทุกคน ชุมชนในพื้นที่ และพันธมิตรทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันทำให้งานนี้เกิดขึ้น และผมเชื่อมั่นว่าเทศกาลนี้จะมอบความสุข ความประทับใจ และแรงบันดาลใจให้กับทุกท่านที่มาเยือน”

ไฮไลต์ของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง

งานในปีนี้พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน

1. ธีม WINTER WONDERDOI: เมื่อธรรมชาติและศิลปะมาบรรจบกัน

ธีมปีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก สัตว์ป่าหายากบนดอยตุง เช่น แมวดาว นางอาย ตัวตุ่นและนกโพระดก ศิลปินป๊อปอาร์ตรุ่นใหม่ NEWYEAR ปภากร ศรีกัลยกร ได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดผ่านตัวละครและประติมากรรมสุดน่ารักที่กระจายอยู่ทั่วสวน เพื่อเดินตามรอย “มุมแชะภาพสุดว้าว” ที่จะทำให้คุณต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูป:

สะพานนางอายสายรุ้ง : สะพานไม้ที่ทอดผ่านสวนดอกไม้ ท่ามกลางสระมรกต

บันไดสายรุ้ง : จุดชมวิวที่สร้างบรรยากาศให้ดูเหมือนคุณกำลังเดินเข้าสู่สายรุ้งแห่งดอยตุง

ประติมากรรมสัตว์ป่า : เช่น ตัวตุ่น นักพรวนดินแห่งขุนเขา หรือบอลลูนแมวดาวยักษ์

2. สวนดอกไม้ระบายดอย: ความงามที่ไม่เคยจางหาย

สวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดบนดอยตุงปีนี้ได้รับการตกแต่งใหม่ ด้วยดอกไม้เมืองหนาวหลากสีสัน ที่สร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มความมีชีวิตชีวา จุดเด่นของสวนนี้คือ:

ทุ่งดอกไม้หลากสี : ที่ออกแบบเพื่อสร้างบรรยากาศฤดูหนาว

เขาวงกตลอยฟ้า : ชิ้นงานศิลปะที่ผสมผสานประเพณีและความเชื่อของชาวไทใหญ่

3. ถนนคนเดินดอยตุง: เมื่อวัฒนธรรมชนเผ่ามาเจอกับความร่วมสมัย หนึ่งในไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยว ไม่ควรพลาดคือ

ถนนคนเดินดอยตุง ซึ่งรวบรวมสินค้า อาหาร และเครื่องดื่มจาก 6 ชนเผ่า ได้แก่ อาข่า ลาหู่ ไทลื้อ ไทใหญ่ ไทลัวะ และจีนยูนนาน อาทิ อาหารชนเผ่าและเมนูพิเศษ ข้าวอิโต หมูดำย่างจิ้มแจ่ว อกไก่ย่างซอสสะเบี๊ยะ ไอศกรีมดอยตุง 3 รสชาติ ที่สร้างจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติ

งานหัตถกรรมชนเผ่า สินค้าแฮนด์เมด เช่น เสื้อผ้าทอมือ กระเป๋า และของที่ระลึก ที่ออกแบบอย่างร่วมสมัย

การแสดงและดนตรีพื้นเมือง : การเต้นรำจากชนเผ่า เช่น รำกระทุ้งไม้ไผ่ หรือการโชว์ดนตรี จากเครื่องดนตรีพื้นเมือง

กิจกรรมสร้างสรรค์ เวิร์กช็อปและเกมสนุกๆ

สำหรับสายรักกิจกรรม คุณสามารถสนุกไปกับ เวิร์กช็อปที่ออกแบบเพื่อทุกวัย การทำเครื่องประดับจากลูกปัด, DIY พวงกุญแจดอกไม้แห้งและ การเพ้นท์เซรามิก

นอกจากนี้ยังมีเกมและกิจกรรมที่ช่วยสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น หมุนวงล้อ ตามหา Wonder of Doi Tung เพื่อลุ้นของที่ระลึกพิเศษ และ นิทรรศการผลกระทบของภาวะโลกร้อน พร้อมกิจกรรมคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงยังคงรักษาความมุ่งมั่นในการสร้างงานปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral Event) โดยลดการใช้พลาสติก และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นิทรรศการ “Wonder to be Green” ยังเชิญชวนผู้เข้าร่วมเขียน “คำสัญญากับอนาคต” เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เราสามารถทำเพื่อช่วยลด โลกร้อน

ข้อมูลสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว

เวลาเปิด-ปิด : วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00-18.00 น.

ค่าบัตรเข้าชม:

  • ผู้ใหญ่: 90 บาท
  • ส่วนลดพิเศษ 50%: สำหรับนักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ คนพิการ และนักบวช
  • เด็กสูงต่ำกว่า 120 ซม.: เข้าชมฟรี

จุดจำหน่ายบัตร:

  • ทางเข้าสวนแม่ฟ้าหลวง
  • จุดบริการใกล้สะพานสายเก่า
  • บริเวณทางเข้าสวนแม่ฟ้าหลวง

อย่าพลาดเทศกาลที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและสีสัน “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” มากกว่าเทศกาล เพราะคือการเดินทางที่จะพาคุณไปสัมผัสความงามของธรรมชาติ วัฒนธรรม และการสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์นี้ได้ที่ ดอยตุง จังหวัดเชียงราย เตรียมตัวออกเดินทาง แล้วมาสนุกกัน!

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  • Facebook : DoiTung Club
  • Instagram : Doitung.official

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมแบ่งปันบทสรุปจากงานประชุม COP29

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้มีโอกาสส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือการประชุมโลกร้อน ‘COP29’ ที่ปีนี้มาในธีม Finance จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน 2024 ที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน และได้นำบทสรุปที่น่าสนใจมาฝาก ดังนี้ค่ะ

#Article6.4 เรื่องมาตรฐานของคาร์บอนเครดิต ผ่านที่ประชุมเลยตั้งแต่วันแรก มาตรฐานนี้ช่วยแก้ไขปัญหาการฟอกเขียวหรือดราม่าของบางเครดิตที่ไม่ได้มาตรฐาน (Voluntary Credit) และทำให้ซื้อขายกันได้ระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ราคาคาร์บอนเครดิตที่เคยตกลง ดีดตัวกลับขึ้นมาอีก สายคัดค้านบอกว่าเนื้อหาในข้อตกลงบางประโยคยังอ่อนเกินไป และเป็นช่องว่าง ในขณะที่เวทีเจรจาเองก็ตั้งใจจะเปิดหลวมๆ ไว้หน่อย เพื่อให้ตั้งบนวิทยาศาสตร์และเครื่องมือที่อัพเดทสุดในขณะนั้นได้

#เงินทุน มีข้อตกลงกันว่าประเทศพัฒนาจะช่วยลงเงินปีละ 3 แสนล้าน USD ต่อปี โดยตอนแรกจะได้ที่ 2.5 แสนล้าน แต่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต้องการมากกว่านี้ อ้างอิงจากการคำนวณและรายงานต่างๆ บอกว่า GAP อยู่ที่ “1.3 #ล้านล้าน” ไม่ใช่ #แสนล้าน

Loss & Damage Fund คือกองทุนการสูญเสียและความเสียหายที่ตั้งมาตั้งแต่ COP27 เพิ่งจะเริ่มดำเนินการ ที่มาคือเงินก้อนนี้ปกติจะใช้สำหรับการลดและปรับตัว (Mitigation and Adaptation) เลยมีกองนี้ขึ้นมาอีกกองสำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบไปแล้วเอาไปเยียวยา

อื่นๆ เป็นการโชว์เคสว่าใครทำอะไรอยู่ เทคโนโลยีใหม่ๆ มีอะไรบ้าง

#COP30 ปีหน้าจัดที่บราซิล ในโอกาสครบรอบ 30 ปี โดยแต่ละประเทศต้องส่ง #NDC หรือแผนประเทศใหม่ แล้วมาดูกันว่า Net Zero Plan ของเราจะขยับมาเร็วขึ้นไหม


เครดิต : ภาพและข้อมูล โดย ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการสิ่งแวดล้อมอาวุโส มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ