เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11 ในธีม “Winter WonderDoi ปล่อยใจปล่อยจอย ในดินดอยมหัศจรรย์ DoiTung x Newyear”

เชียงราย – หน้าหนาวนี้ เตรียมพบกับเทศกาลที่ทุกคนรอคอย! “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” งานที่นำพาความสุข ความอบอุ่น และความประทับใจมาสู่ดอยสูง พร้อมเปิดตัวธีมใหม่สุดพิเศษ “WINTER WONDERDOI ปล่อยใจ ปล่อยจอย ในดินดอยมหัศจรรย์DoiTung x NEWYEAR”

พบกับความพิเศษสุดเมื่อศิลปินป๊อปอาร์ตรุ่นใหม่อย่าง “NEWYEAR ปภากร ศรีกัลยกร” มาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสัตว์หายากบนดอยตุง อาทิ แมวดาว นางอาย ตัวตุ่น นกโพระดก เป็นต้นซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่เริ่มกลับมาอุดมสมบูรณ์ผลจาก การดูแลป่าดอยตุงมากว่า 36 ปีออกแบบเป็นตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์สุดน่ารักกระจายอยู่ทั่วสวนดอกไม้บนดอย ให้ตามเช็คอินถ่ายรูปเก็บความประทับใจกลับบ้านที่จะทำให้ทุกการเดินทางของคุณเต็มไปด้วยสีสัน ความสุข และแรงบันดาลใจ

เทศกาลนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึง 26 มกราคม 2568 เปิดให้บริการทุก วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. ณ โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย งานนี้เหมาะ สำหรับทุกคนในครอบครัว ทั้งสายรักธรรมชาติ สายแชะภาพ หรือสายชิม ไม่ว่าคุณจะเป็น นักท่องเที่ยว ที่ต้องการพักผ่อนท่ามกลางอากาศหนาว หรือนักสำรวจที่อยากสัมผัสความงามของวัฒนธรรม ชนเผ่า เทศกาลนี้มีสิ่งที่ตอบโจทย์ทุกคนรออยู่

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติงาน/ ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเติบโตของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงในทุกๆ ปี โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 แล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แห่งความสุขสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ยังสะท้อนถึง ความมุ่งมั่นของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในการพัฒนาชุมชนและฟื้นฟูธรรมชาติอย่างยั่งยืน ปีนี้เรานำเสนอธีม ‘WINTER WONDERDOI’ ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของดอยตุง ผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่ผสมผสาน อย่างลงตัว”

“ดอยตุง คือเรื่องราวความสำเร็จที่เกิดจากการพัฒนาภายใต้แนวคิด “คนอยู่ร่วมกับป่า” สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเล็งเห็นถึงศักยภาพของดอยตุงและฟื้นฟูพื้นที่จากการปลูกฝิ่น และการทำลายป่า ให้กลายเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ วันนี้ดอยตุง ไม่เพียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในด้าน การอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาชุมชน และการส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ผมขอขอบคุณทีมงานทุกคน ชุมชนในพื้นที่ และพันธมิตรทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันทำให้งานนี้เกิดขึ้น และผมเชื่อมั่นว่าเทศกาลนี้จะมอบความสุข ความประทับใจ และแรงบันดาลใจให้กับทุกท่านที่มาเยือน”

ไฮไลต์ของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง

งานในปีนี้พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน!

1. ธีม WINTER WONDERDOI: เมื่อธรรมชาติและศิลปะมาบรรจบกัน

ธีมปีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก สัตว์ป่าหายากบนดอยตุง เช่น แมวดาว นางอาย ตัวตุ่นและนกโพระดก ศิลปินป๊อปอาร์ตรุ่นใหม่ NEWYEAR ปภากร ศรีกัลยกร ได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดผ่านตัวละครและประติมากรรมสุดน่ารักที่กระจายอยู่ทั่วสวน เพื่อเดินตามรอย “มุมแชะภาพสุดว้าว” ที่จะทำให้คุณต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูป:

สะพานนางอายสายรุ้ง : สะพานไม้ที่ทอดผ่านสวนดอกไม้ ท่ามกลางสระมรกต

บันไดสายรุ้ง : จุดชมวิวที่สร้างบรรยากาศให้ดูเหมือนคุณกำลังเดินเข้าสู่สายรุ้งแห่งดอยตุง

ประติมากรรมสัตว์ป่า : เช่น ตัวตุ่น นักพรวนดินแห่งขุนเขา หรือบอลลูนแมวดาวยักษ์

2. สวนดอกไม้ระบายดอย: ความงามที่ไม่เคยจางหาย

สวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดบนดอยตุงปีนี้ได้รับการตกแต่งใหม่ ด้วยดอกไม้เมืองหนาวหลากสีสัน ที่สร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มความมีชีวิตชีวา จุดเด่นของสวนนี้คือ:

ทุ่งดอกไม้หลากสี : ที่ออกแบบเพื่อสร้างบรรยากาศฤดูหนาว

เขาวงกตลอยฟ้า : ชิ้นงานศิลปะที่ผสมผสานประเพณีและความเชื่อของชาวไทใหญ่

3. ถนนคนเดินดอยตุง: เมื่อวัฒนธรรมชนเผ่ามาเจอกับความร่วมสมัย หนึ่งในไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยว ไม่ควรพลาดคือ

ถนนคนเดินดอยตุง ซึ่งรวบรวมสินค้า อาหาร และเครื่องดื่มจาก 6 ชนเผ่า ได้แก่ อาข่า ลาหู่ ไทลื้อ ไทใหญ่ ไทลัวะ และจีนยูนนาน อาทิ อาหารชนเผ่าและเมนูพิเศษ ข้าวอิโต หมูดำย่างจิ้มแจ่ว อกไก่ย่างซอสสะเบี๊ยะ ไอศกรีมดอยตุง 3 รสชาติ ที่สร้างจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติ

งานหัตถกรรมชนเผ่า สินค้าแฮนด์เมด เช่น เสื้อผ้าทอมือ กระเป๋า และของที่ระลึก ที่ออกแบบอย่างร่วมสมัย

การแสดงและดนตรีพื้นเมือง : การเต้นรำจากชนเผ่า เช่น รำกระทุ้งไม้ไผ่ หรือการโชว์ดนตรี จากเครื่องดนตรีพื้นเมือง

4. กิจกรรมสร้างสรรค์ เวิร์กช็อปและเกมสนุกๆ

สำหรับสายรักกิจกรรม คุณสามารถสนุกไปกับ เวิร์กช็อปที่ออกแบบเพื่อทุกวัย การทำเครื่องประดับจากลูกปัด, DIY พวงกุญแจดอกไม้แห้งและ การเพ้นท์เซรามิก

นอกจากนี้ยังมีเกมและกิจกรรมที่ช่วยสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น หมุนวงล้อ ตามหา Wonder of Doi Tung เพื่อลุ้นของที่ระลึกพิเศษ และ นิทรรศการผลกระทบของภาวะโลกร้อน พร้อมกิจกรรมคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงยังคงรักษาความมุ่งมั่นใปปปนการสร้างงานปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral Event) โดยลดการใช้พลาสติก และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นิทรรศการ “Wonder to be Green” ยังเชิญชวนผู้เข้าร่วมเขียน “คำสัญญากับอนาคต” เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เราสามารถทำเพื่อช่วยลด โลกร้อน

อย่าพลาดเทศกาลที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและสีสัน “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” มากกว่าเทศกาล เพราะคือการเดินทางที่จะพาคุณไปสัมผัสความงามของธรรมชาติ วัฒนธรรม และการสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์นี้ได้ที่ ดอยตุง จังหวัดเชียงราย เตรียมตัวออกเดินทาง แล้วมาสนุกกัน!

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับ Presidential Agency for International Cooperation of Colombia (APC – Colombia) จัดกิจกรรมคู่ขนาน ที่การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 16 หรือ CBD COP16

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับ Presidential Agency for International Cooperation of Colombia (APC – Colombia) (สำนักงานประธานาธิบดี ประเทศโคลัมเบีย) จัดกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) ที่การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 16 หรือ CBD COP16 เกี่ยวกับนวัตกรรมในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและสันติสุข ณ เมืองซานเตียโก เด กาลิ สาธารณรัฐโคลอมเบีย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เล่าเรื่องแนวทางการพัฒนาการของโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพะราชดำริ จังหวัดเชียงราย ที่ดำเนินงานมากว่า 36 ปี ที่ยึดแนวทางการดำเนินงานตาม “ตำราแม่ฟ้าหลวง” จนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากปัญหาความยากจน การปลูกฝิ่น สู่อาชีพที่สุจริต และความท้าทายใหม่ที่ต้องเพิ่มมิติการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้าไปมากกว่าเก่า การนำบทเรียนมาช่วยเร่งให้เกิดผลกระทบ (impact) ในวงกว้างและเร็วกว่าเดิม และการขยายผลคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในป่าชุมชนกว่า 11 จังหวัด มีชาวบ้านเข้าร่วมกว่า 150,000 คน จาก 281 ชุมชน

โดยมีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เป็นผู้แทนจาก Terrasos ที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลก (World Bank) ในการทำเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity credits หรือ bio-credits) รายแรกของโลกร่วมงานด้วย

ผู้แทนจาก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คุณสุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการสิ่งแวดล้อมอาวุโส ได้เข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในหัวข้อ Driving Green Finance and Nature

ผู้แทนจาก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คุณสุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการสิ่งแวดล้อมอาวุโส ได้เข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในหัวข้อ Driving Green Finance and Nature-Related Disclosures: Global Insights and Regulatory Leadership ร่วมกับ The United Nations Development Programme (UNDP) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ของสาธารณรัฐซิมบับเว และธนาคารกลางบอตสวานา เกี่ยวกับกลไกทางการเงินที่สนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

โดย คุณสุภัชญา ได้เล่าว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นหนึ่งในองค์กร early adopter ใน The Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) ที่เป็นแนวคิดระดับนานาชาติโดยมีเป้าหมายในการพัฒนากรอบการทำงานเพื่อให้องค์กรต่างๆ เปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ “ธรรมชาติ” ทั้งการพึ่งพาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนวิธีจัดการกับปัญหาขององค์กรนั้นๆ

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม UNDP Thailand The Biodiversity Finance Initiative ได้เชิญตัวแทนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมเสวนาช่วง High Level Panel side event at CBD COP 16 เกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในป่าชุมชน

Thailand is excited to participate in a high-level side event at CBD COP 16 on October 28, 2024, titled “The Nature Investment Facility: Mobilizing Resources to Reduce the Biodiversity Funding Gap and Implement the GBF.” with Camilla Nordheim-Larsen, Chief of Private Sector Partnerships of UNESCO | Marcos Neto, Assistant Administrator and Director, Bureau for Policy and Programme Services of UNDP | Pradeep Kurukulasuriya, Executive Secretary of UNCDF | Onno van den Heuvel, Global Manager of UNDP The Biodiversity Finance Initiative – BIOFIN | Berchmans Hatungimana, General Director of Burundian Office for the Protection of the Environment of Burundi | Rogelio Torres, Leader of Arhuaco Communities and partner of ASARHUACO | Khun Smitthi Harueanphuech, Director of Special Projects of มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ Mae Fah Luang Foundation under Royal Patronage

The Mae Fah Luang Foundation represented 127 indigenous people and local communities across 7 provinces to share real stories about community forest management and financial solutions.

Key highlights include:

1) The Mae Fah Luang Foundation has assisted communities in exploring carbon credits from forest protection, registering approximately 50,000 hectares of community forest, making it the largest nature-based carbon credit project in Thailand. This initiative fosters a participatory approach and builds beneficial relationships with private sector partners.

2) Addressing gaps in the enabling environment for carbon credit schemes will require support from local communities.

3) Thailand is committed to implementing biodiversity finance at the local level, for local people, and with local communities.

UNDP BIOFIN ประเทศไทยขอขอบคุณ คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานพิเศษ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ร่วมเสวนาในช่วง High Level Panel side event at CBD COP 16 เกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งดำเนินการร่วมกับชุมชน 127 ป่าชุมชนใน 7 จังหวัดทั่วประเทศไทย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ รับรางวัลระดับโลก Res Publica ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม-มนุษยชาติอย่างสมดุล ที่ประเทศอิตาลี พร้อมขยายผลครอบคลุมการแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวน ที่ ประเทศอิตาลี

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัล Res Publica ในฐานะองค์กรประสบความสำเร็จในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและมนุษยชาติอย่างสมดุล ที่ประเทศอิตาลี

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ที่เมืองมอนดาวี ประเทศอิตาลี มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัล Res Publica ซึ่งเป็นรางวัลจากภาคประชาชน ในฐานะที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและมนุษยชาติอย่างสมดุล

สำหรับรางวัล Res Publica เป็นกิจกรรมหนึ่งของสมาคม The Good Government and Civic Sense Association ซึ่งเป็นสมาคมนานาชาติตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี มีขึ้นเพื่อยกย่องและส่งเสริมองค์กร หรือบุคคลที่มีบทบาทและผลงานด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยในปีนี้จัดขึ้นในเมือง มอนดาวี อิตาลี วันที่ 26 ตุลาคม 2567

การมอบรางวัล Res Publica มีขึ้นตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งในอดีตมีบุคคลที่มีผลงานและบทบาทสำคัญได้รับรางวัล เช่น ดร.แอนโทนี ฟอว์ซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้โรคติดต่อสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลงานโดดเด่นในการต่อสู้กับโควิด-19 และนายเจอราด ไรย์ ผู้อำนวยการภาคีสื่อมวลชนสืบสวนสอบสวนระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลงานเปิดโปงคดีฉ้อโกงทางการเงินระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในปีนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัลในความสำเร็จทางการพัฒนาอย่างสมดุลสภาพแวดล้อมและสังคม ที่นอกจากจะฟื้นฟูป่าบนดอยตุงสู่ความสมบูรณ์แล้ว ยังสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ชุมชน และทำให้การปลูกฝิ่นหมดไปจากประเทศไทย อีกทั้งยังขยายผลการดำเนินงานให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวน

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า รางวัลสำคัญที่ได้รับนี้เป็นผลของความร่วมมือกันของภาครัฐ เอกชนและชุมชน อีกทั้งยังเป็นผลงานจากความทุ่มเทของพนักงานและเจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในทุกยุคทุกสมัย นับว่าเป็นของขวัญที่น่าภูมิใจในวาระครบ 36 ปีของโครงการพัฒนาดอยตุง

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงฯ เมื่อปี 2531 เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าและพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวดอยตุงทั้ง 29 หมู่บ้าน และพระราชปณิธานนั้นก็ยังถูกสานต่อมาอย่างจริงจัง จนวันนี้ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เป็นตัวอย่างที่องค์การสหประชาชาติ และองค์กรระดับนานาชาติต่างยอมรับ เพราะผลงานที่เราทำให้เห็นจนเป็นประจักษ์และสามารถขยายผลขนเกิดความสำเร็จอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ

นิทรรศการ “คิดถึง…สมเด็จย่า ครั้งที่ 27 : ตชด. รฦก” ย้อนรำลึกถึงพระเมตตา สืบสานพระราชปณิธาน ที่มีต่องาน ตชด. ส่งต่อแรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจ ตั้งแต่วันนี้ – 20 ตุลาคม 2567 ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “สมเด็จย่า” ในวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี  บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสยามพิวรรธน์กรุ๊ป ร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย, บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด, และบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ “สมเด็จย่า” ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ร่วมกันจัดนิทรรศการ “คิดถึง…สมเด็จย่า ครั้งที่ 27” ตั้งแต่วันนี้ – 20 ตุลาคม 2567  โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรงาน (เป็นการส่วนพระองค์)ในวันพุธที่ 16 ตุลาคม 2567 ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม

ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ

ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า “นิทรรศการ คิดถึง…สมเด็จย่า จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีต่อประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทย โดยปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 27 ภายใต้ชื่อ ‘ตชด. รฦก’ เพื่อถ่ายทอดพระราชกรณียกิจและบอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่าที่มีต่อตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งได้ถวายงานด้านต่างๆ แด่พระองค์ท่าน โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าสมเด็จย่าทรงห่วงใยตำรวจตระเวนชายแดนที่ตั้งฐานปฏิบัติการตามตะเข็บชายแดน ทั้งยังทรงใส่พระราชหฤหัยไปถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล จนเกิดเป็นโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนมากมาย การนำเสนอพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ ตชด. ผ่านนิทรรศการ คิดถึง…สมเด็จย่า ครั้งที่ 27 นี้ จึงคาดหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนทั่วไประลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมกันสานต่อพระราชปณิธานของพระองค์ให้ก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยสืบต่อไป”

ด้าน พล.ต.อ. สมศักดิ์ บุบผาสุวรรณ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้เคยถวายงานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เผยถึงนิทรรศการครั้งนี้ว่า “นับเป็นเวลาหลายสิบปีที่สมเด็จย่าทรงห่วงใย เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยือนตำรวจตระเวนชายแดนถึงถิ่นฐาน รวมถึงราษฎรทั่วประเทศ พร้อมพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ภาพพระองค์ทรงชุดพลร่มตำรวจชายแดนยังคงประทับอยู่ในใจของ ตชด. ทุกนายมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ กล่าวได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่าที่มีต่อตำรวจตระเวนชายแดนนั้นมีมากมายอเนกอนันต์ การจัดนิทรรศการคิดถึง…สมเด็จย่า ครั้งที่ 27 ภายใต้ชื่อ ‘ตชด. รฦก’  จึงมีความหมายอย่างมากต่อ ตชด.ทุกนาย อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปได้ทราบถึงพระเมตตาและน้ำพระราชหฤทัยของพระองค์ในมุมที่ผู้คนทั่วไปอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน”

ทั้งนี้นิทรรศการ “คิดถึงสมเด็จย่า ครั้งที่ 27” ภายใต้ชื่องาน ตชด. รฦก จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่พระเมตตาและถ่ายทอดพระราชกรณียกิจที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีต่อตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ตลอดจนสืบสานพระราชปณิธานและส่งต่อแรงบันดาลใจที่ทรงห่วงใย ใส่พระราชหฤทัยในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพสกนิกร โดยแบ่งเนื้อหานิทรรศการออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

  • ส่วนที่ 1 “กำเนิด ตชด.” นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการก่อตั้งหน่วยงาน “ตำรวจตระเวนชายแดน” (ตชด.) ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยและสนองงานพัฒนาด้านต่างๆ แด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพันธกิจสำคัญในปัจจุบัน ในการถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ บังคับใช้กฎหมายและอำนวยความยุติธรรมทางอาญา และรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของราชอาณาจักร
  • ส่วนที่ 2 “ให้มีอานามัยดี การศึกษาดี” เผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้านการสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน  ซึ่งนอกจากพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้าง และพระราชทานนามโรงเรียนหลายแห่งแล้ว ยังทรงชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์ พระสหาย และเอกชนให้มาช่วยสนับสนุนกิจการของโรงเรียน ทั้งเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยม ตชด. ในหลายพื้นที่ ตลอดจนทรงเอาพระทัยใส่ มีพระเมตตาต่อผู้ปฏิบัติงาน และพระราชปณิธานยังคงสืบสานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนถึงปัจจุบัน
  • ส่วนที่ 3 “ความสงสารเพื่อนมนุษย์” ถ่ายทอดพระราชกรณียกิจด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพสกนิกร โดยเฉพาะผู้ยากไร้ และด้อยโอกาส นำมาซึ่งการก่อตั้งหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) มูลนิธิขาเทียม และพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุขอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งได้รับการสานต่อจากพระบรมวงศ์ เพื่อสร้างประโยชน์และเป็นที่พึ่งของพสกนิกรตลอดมา

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ แบ่งปันแนวทางการพัฒนาทรัพยากรน้ำของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในงาน “TCP Sustainability Forum 2024: Water Resilience In a Changing Climate”

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ แบ่งปันแนวทางการพัฒนาทรัพยากรน้ำของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในงาน “TCP Sustainability Forum 2024: Water Resilience In a Changing Climate” ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มธุรกิจ TCP

คุณธานิษฎ์ กองแก้ว ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมเป็นวิทยากรในวงเสวนา “อนาคตและทางออกของการปรับรับมือการเปลี่ยนแปลงด้านน้ำและสภาพภูมิอากาศ” เล่าถึงงานพัฒนาชุมชนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง โดยเริ่มจากพัฒนาทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรของชุมชน แล้วจึงส่งเสริมอาชีพ ทั้งด้านการเกษตรและด้านอื่น ๆ ร่วมไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไปพร้อมกัน

การพัฒนาทรัพยากรน้ำและป่าของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ส่งผลต่อความยั่งยืนในพื้นที่โครงการพัฒนาอย่างไม่สามารถแยกจากกันได้ เมื่อมีน้ำ ชุมชนจึงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกที่น้อยลง และมีพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูให้กลับมาเป็นป่า เมื่อมีป่า จึงมีน้ำหล่อเลี้ยงชุมชนทั้งชุมชนต้นน้ำ ตลอดไปถึงชุมชนปลายน้ำ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ นำประสบการณ์กว่า 30 ปีในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติมาริเริ่มบริการใหม่ๆ อาทิ

  • การบริหารจัดการข้อมูลน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมให้ชุมชนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจากความผันผวนของน้ำและสภาพภูมิอากาศ
  • การประยุกต์ใช้แนวทางการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solution) เพื่อจัดการประเด็นพึ่งพาและการสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติ รวมไปถึงการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างความยั่งยืนแก่องค์กรและชุมชน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พร้อมร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วน และลงมือทำไปด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในสังคมในวงกว้างอย่างยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คว้ารางวัล SX Shaper Award 2024

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัล SX Shaper Award 2024 จากคณะกรรมการจัดงาน Sustainability Expo 2024 มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพคนเป็นศูนย์กลาง (Human-centric) จนกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม

กว่า 50 ปี ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อสืบสานและต่อยอดพระราชปณิธานตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ‘ช่วยให้เขา ช่วยตัวเขาเอง’ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพคนเป็นศูนย์กลาง (Human-centric) จนกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ทำให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัล SX Shaper Award 2024 จากคณะกรรมการจัดงาน Sustainability Expo 2024

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ดำเนินโครงการสำคัญๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน)  อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย, โครงการร้อยใจรักษ์ จังหวัดเชียงใหม่, โครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกชาน้ำมัน และพืชน้ำมันอื่นๆ จังหวัดเชียงราย, โครงการแปรรูปป่าเศรษฐกิจน่าน จังหวัดน่าน, โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา, อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย, และโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เชื่อว่า ‘คน’ คือต้นเหตุและทางออกของปัญหาในการยกระดับชีวิตของชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เพราะ “ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่ที่เขาไม่ดี เพราะขาดโอกาสและทางเลือก”

โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2531 เพื่อเป็นการให้แนวทางการพัฒนาตามตำราแม่ฟ้าหลวงคือการ “ปลูกป่า ปลูกคน”  โดยตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ผ่านา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ฟื้นฟูป่าได้ประมาณ 90,000 ไร่ สร้างอาชีพที่ดีแก่ประชาชนกว่าหนึ่งหมื่นคน

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังร่วมกับภาคีทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ได้ดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน มาตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปีนี้ มีความร่วมมือในป่าชุมชนรวม 129 แห่งใน 9 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 194,850 ไร่ ผลิตคาร์บอนเครดิตได้ 500,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสร้างประโยชน์แก่ชุมชนในป่า 25,082 ครัวเรือน  ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตั้งเป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันภายในปี 2570

อีกความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คือ การจัดการขยะ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เริ่มลงมือจัดการขยะจากต้นทางอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2555 จนกระทั่งปลายปี 2561 ประสบความสำเร็จในการทำให้ขยะถูกส่งไปบ่อฝังกลบเป็นศูนย์ และยังขยายแนวคิดนี้ไปยัง 29 หมู่บ้านใน อ.แม่ฟ้าหลวง ซึ่งปัจจุบัน มี 24 หมู่ล้านที่สามารถคัดแยกขยะได้อย่างถูกวิธี ดอยตุงไม่มีของเหลือทิ้ง เพราะที่นี่ดำเนินธุรกิจแบบ Zero Waste และตั้งใจสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับโลก โดยทำให้ทุกขั้นตอนการผลิตไม่สร้างขยะด้วยการรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำพลาสติก กากกาแฟ เปลือกแมคคาเดเมีย เศษผ้าจากกาทางทอผ้า น้ำที่ใช้ในการย้อมก็ยังสามารถบำบัดได้ และหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ พร้อมทั้งพัฒนาการออกแบบดีไซน์เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์หลักอีกด้วย ทำให้โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรวงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับมาตรฐาน G Green Production ประเภทเซรามิก ระดับดีเยี่ยม และประเภทสิ่งทอ ระดับดีเยี่ยม ปี 2562 จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ส่วนโครงการการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน (Sustainable Alternative Livelihood Development – SALD)เป็นแนวทางการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากพระปรัชญาและพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการช่วยเหลือพัฒนาผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม โดยเน้นการพัฒนาคนอย่างมีบูรณาการ เป็นขั้นเป็นตอน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และนำวิธีคิดและวิธีบริหารจัดการเชิงธุรกิจมาปรับใช้ เช่น ผลิตของที่ตลาดต้องการ มุ่งสร้างประโยชน์สูงสุดจากต้นทุนที่ต่ำที่สุด ด้วยกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน อีกทั้งศึกษาความเป็นไปได้ก่อนทำโครงการเพื่อลดความเสี่ยง หรือวัดผลเพื่อปรับปรุงการทำงานอยู่ตลอดเวลา

“เพราะความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน” ที่จะมาร่วมกันเปลี่ยนโลกใบนี้ให้น่าอยู่อย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรมมากมาย พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิด และไอเดียสุดเจ๋งด้านความยั่งยืนกับวิทยากรชื่อดัง ศิลปิน และเหล่าไอดอลจากทุกแวดวง ตื่นเต้นไปกับสุดยอดนวัตกรรมกอบกู้โลกให้คุณได้เรียนรู้ และพร้อมปรับตัว เพื่อความอยู่รอดในวิถีชีวิตประจำวันยุคโลกเดือดได้อย่างมีความสมดุล ในงาน Sustainability Expo (SX2024) ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, www.sustainabilityexpo.com และแอดไลน์ @sxofficial  เตรียมพบกับมุมมองดีๆ และต้นแบบสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน ตลอดจนร่วมกิจกรรมมากมายเพื่อโลก ด้วยกันที่ Sustainability Expo 2024: Good Balance, Better World #good balancebetter world

ขอบคุณที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/3914557/

ความยั่งยืนคืออะไร ?

ในขณะที่กลุ่มธุรกิจและหน่วยงานต่างๆ ตั้งเป้าหมายเรื่องความยั่งยืน เราอยากชวนทุกคนมาสำรวจและตั้งคำถามกับความยั่งยืน ผ่านกิจกรรมหลากหลายภายในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

ถอดบทเรียนการทำงานด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและชุมชนกว่า 30 ปี ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ

ร่วมเรียนรู้ปัญหาและสำรวจตัวเองได้ภายในบูธของเรา

.

พบกันที่ บูธ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

Hall 3 ชั้น G โซน SEP INSPIRATION

ในวันที่ 27 ก.ย – 6 ต.ค 67

เวลา 10.00 – 20.00 น.

ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์