มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดกิจกรรมปลูกป่าเสริมฟื้นฟูระบบนิเวศในจังหวัดเชียงราย สืบสานพระราชดำริและน้อมรำลึกถึง “สมเด็จย่า” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 18 กรกฎาคม ครบรอบ 30 ปี

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ครบรอบ 30 ปี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการสวรรคต ณ วัดพระแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย 

จากนั้น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับจังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีถวายพานขันดอกสักการะ ณ อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา กรรมการ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน และประชาชนในจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้นำกล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และประกอบพิธีถวายพานพุ่ม หน้าพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ สง่างาม และเปี่ยมด้วยความจงรักภักดี

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังได้จัดกิจกรรม “โครงการฟูื้นฟูและปรับสภาพป่า (ปลูกป่าเสริม) สืบสานพระราชดำริ พลิกฟื้นคืนป่าธรรมชาติดั้งเดิม” ณ พื้นที่บ้านป่ายาง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บนพื้นที่ฟื้นฟูกว่า 25 ไร่  

โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ชุมชนในพื้นที่ และภาคีเครือข่ายร่วมแรงร่วมใจปลูกกล้าไม้ท้องถิ่นหลากหลายชนิด เพื่อสืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนในระยะยาว

กิจกรรมทั้งหมดนี้มุ่งเน้นการ “ปลูกป่า” ควบคู่ไปกับการ “ปลูกคน” เพื่อสืบสานพระราชดำริของสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำของจังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นดินแดนต้นแบบที่เปี่ยมด้วยพลังของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาว

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงติดตามความก้าวหน้าของงานพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

วันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระที่นั่งจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จากนั้นเสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปยังบ้านปูนะ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ทรงเยี่ยมราษฎร และทอดพระเนตรความก้าวหน้า โครงการวิจัยและพัฒนาการปลูกชาน้ำมัน

โครงการดังกล่าวนี้ มูลนิธิชัยพัฒนา และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมส่งเสริมราษฎรติดแนวชายแดน ๔๐๓ ครอบครัวของหมู่บ้านปูนะ และหมู่บ้านปางมะหัน ให้มีอาชีพที่มั่นคงโดยปลูกต้นชาน้ำมันในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ๒,๐๑๐ ไร่ โดยในปีที่ผ่านมา เน้นการคัดชาน้ำมันที่มีลักษณะดี และทดลองปลูกชาน้ำมันดอกแดงและต้นชาดอกขาว

โครงการยังได้จัดสรรพื้นที่ป่าใช้สอยให้ดูแลครอบครัวละ ๒ ไร่ พร้อมๆ กับการส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาหลากหลาย ได้แก่ เกษตรกรรม เช่น ข้าวไร่ ฟักทอง ชาอัสสัม ปศุสัตว์ และหัตถกรรม

จากนั้น เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรศูนย์หัตถกรรมชุมชน ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ รับสนองพระราชดำริพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างครบวงจร และเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างอาชีพเสริมให้แก่ราษฎร  โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ นำธุรกิจเพื่อสังคมแบรนด์ดอยตุงเป็นผู้ฝึกอบรมและออกแบบผลิตภัณฑ์ ฝึกอบรมให้ราษฎรเย็บจักรได้ตามมาตรฐานพร้อมกับจ้างงานกลุ่มสตรีในชุมชน

ต่อมา เสด็จฯ ไปยังโรงเรียนสังวาลย์วิท ๘ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งก่อตั้งขึ้นด้วยงบประมาณจากกองทุนการกุศลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  จำนวน  ๒,๖๐๕,๕๒๔ บาท  เพื่อก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารประกอบต่าง โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดป้ายอาคารเรียน เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ และได้พระราชทานชื่อโรงเรียนแห่งนี้ว่าโรงเรียนสังวาลย์วิท ๘ ซึ่งปัจจุบัน สังกัด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๓๒ เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นเด็กก่อนวัยเรียน ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีนักเรียนจำนวน ๑๓๒ คน นักเรียนชาย ๗๒ คน นักเรียนหญิง ๖๐ คน พระราชทานเข็มเชิดชูเกียรติ ตลอดจนสิ่งของ เครื่องเขียน พันธุ์ไม้ผลมะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้น แก่ผู้แทนราษฎรและผู้ปฏิบัติงาน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับคณะกรรมการหมู่บ้านและคณะกรรมการสถานศึกษา ทรงลงพระนามาภิไธยในสมุดที่ระลึก ตลอดจนทอดพระเนตรกิจกรรมส่งเสริมอาชีพและโครงการต่าง ๆ

จากนั้น เสด็จฯ ไปยัง พระตำหนักดอยตุง ทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๘ และประทับแรม ณ พระตำหนักดอยตุง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงติดตามงานด้านพัฒนาสภาพแวดล้อมและป่าเศรษฐกิจในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ

วันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการดำเนินงานของศูนย์แยกขยะชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ฟ้าหลวง และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พัฒนาขึ้นเป็นต้นแบบการบริหารจัดการขยะในระดับท้องถิ่น ตามแนวทางหยุดยั้งขยะไปหลุมฝังกลบ หรือ “Zero Waste to Landfill”

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ฯได้ศึกษาวิจัยและทดลอง จนนำมาสู่การพัฒนาโครงการต้นแบบที่ปัจจุบันรวบรวมและคัดแยกขยะครอบคลุม ๒๔ หมู่บ้านและ ๘ โรงเรียนในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ

ศูนย์แยกขยะชุมชนมุ่งให้สมาชิกมีส่วนร่วมโดยง่ายในทุกขั้นตอน อบต. บริหารจัดการเองทั้งระบบ เริ่มจากคัดแยกขยะของชุมชนจากที่บ้าน ทำให้ปัจจุบันประสบความสำเร็จ ไม่มีขยะเหลือไปสู่บ่อฝังกลบ ในขณะเดียวกันร้อยละ ๔๐ ของขยะยังได้นำไปใช้ประโยชน์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยและนวัตกรรมเพิ่มมูลค่า เช่นการทำบล็อกปูพื้นจากเศษกระจก รีไซเคิลกล่องนม ขวดแก้ว จึงทำให้การจัดการขยะในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ๙๗๓ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับป่า ๑,๐๒๔ ไร่

จากนั้น เสด็จฯ ไปยังแปลงป่าเศรษฐกิจ ทอดพระเนตรต้นแมคคาเดเมียที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงปลูกไว้เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกป่าบนดอยตุงเมื่อ ๓๖ ปีที่ผ่านมา

แปลงแมคคาเดเมียดังกล่าวดำเนินการภายใต้ชื่อบริษัทนวุติ ซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อสังคมในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ โดยมีผู้ถือหุ้นปัจจุบันของบริษัทนวุติร่วมรับเสด็จฯ ได้แก่ มิตซุยแอนด์คัมปนี (ไทยแลนด์) – สุมิโตะโมะ มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น – บริษัทเอื้อชูเกียรติ และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งรวมตัวกันเพื่อใช้ป่าเศรษฐกิจเป็นฐานสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชนทดแทนพืชเสพติดและแก้ไขปัญหาเขาหัวโล้น ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการ “ปลูกป่า ปลูกคน” และปกป้อง “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”

ป่าเศรษฐกิจกลายเป็นพื้นฐานให้ประชาชนบนดอยตุงประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน มีความพร้อมและร่วมขยายการปลูกป่าจนครบ ๙๐,๐๐๐ ไร่ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและสภาพแวดล้อมในระยะยาว

ป่าที่สมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพบนดอยตุงได้รับการรับรองว่าผลิต ๔๑๙,๐๐๐ ตันคาร์บอนได้ออกไซด์เทียบเท่า และนอกจากนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ฯ ยังได้นำประสบการณ์ไปร่วมพัฒนาป่าร่วมกับราชการ เอกชน และชุมชนทั่วประเทศครอบคลุมพื้นที่ ๕๓๖,๑๖๙ ไร่ในปัจจุบัน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ จับมือ สผ. – สพภ. ผลักดันแผนความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ สู่เป้าหมายสิ่งแวดล้อมโลกที่ยั่งยืน

ท่ามกลางความท้าทายด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ ความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นวาระสำคัญระดับโลก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้รับเชิญจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) ให้เข้าร่วมเป็นภาคีในฐานะ ผู้ขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ (Implementation Partner) ภายใต้ บันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ โดยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจจัดขึ้น ณ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันก่อน โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการ สผ. และ นางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ สพภ. ร่วมลงนาม เพื่อยืนยันความร่วมมือในการผลักดัน NBSAP พ.ศ. 2566–2570 ซึ่งเป็นแผนระดับชาติ ฉบับที่ 5 ของประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายอย่างสอดคล้องและยั่งยืน

สาระสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างภาคนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาเครื่องมือทางการเงินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การบูรณาการฐานข้อมูล การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ การผลักดันงานในระดับพื้นที่ร่วมกัน ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน ผ่านระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดำเนินงานภายใต้หลักการพัฒนาของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) “คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคน” มาโดยตลอด ผ่านการพัฒนาที่คำนึงถึงทั้งทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างสมดุล โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งดำเนินงานมาเกือบ 4 ทศวรรษ ภายใต้แนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” ดอยตุงได้กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมเข้าไว้ด้วยกัน ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้ศึกษาติดตามความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อยืนยันว่าแนวทางที่นำมาใช้นั้นสามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อระบบนิเวศได้อย่างแท้จริง

ด้วยประสบการณ์จากการทำงานพัฒนาชุมชนในพื้นที่จริง ทั้งจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ โครงการขยายผลทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ยังได้ประเมินความเสี่ยงทางธรรมชาติในการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมภายใต้แบรนด์ดอยตุง เพื่อให้มูลนิธิฯ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง ลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม รวมถึงสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแก่ชุมชนได้อย่างยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีส่วนร่วม ทีมงานที่มีประสบการณ์ตรง และฐานข้อมูลทางธรรมชาติที่ได้รับการบันทึกอย่างต่อเนื่อง มาใช้สนับสนุนและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพโลก คุนหมิง–มอนทรีออล และเป้าหมาย 30×30 ของประเทศไทย 

โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ (Implementation Partner) ที่เชื่อมั่นว่าการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจะเกิดผลอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อมีการลงมือปฏิบัติในพื้นที่จริง พร้อมการมีส่วนร่วมของชุมชนในฐานะผู้ดูแลทรัพยากรโดยตรง พร้อมเปิดกว้างในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันให้เป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพของชาติสำเร็จอย่างยั่งยืน

You need to add a widget, row, or prebuilt layout before you’ll see anything here. 🙂

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มอบเงินสนับสนุน 1.5 ล้านบาทแก่โครงการอาหารโลก เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล (ขวา) เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้แทนส่งมอบเงินบริจาคจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากการระดมทุนของเครือข่ายภาคีและผู้สนับสนุนของมูลนิธิ ให้แก่ ซาเมีย วันมาลี (ซ้าย) ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งองค์การสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก

เพื่อสนับสนุนการจัดหาอาหารและความช่วยเหลือด้านโภชนาการให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในระยะที่สองของการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ณ สำนักงานโครงการอาหารโลก ประจำกรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

กาแฟดอยตุง ธุรกิจกาแฟที่สร้างความยั่งยืนให้ชุมชน

รู้ไหมว่า ทุกครั้งที่คุณจิบกาแฟดอยตุง แบรนด์กาแฟของไทย คือการได้ต่อยอดวิถีชีวิตของชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ดอยตุง จังหวัดเชียงรายให้สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างพึ่งพาอาศัยและยั่งยืน ลดการทำลายป่าและยังช่วยสนับสนุนให้กาแฟคุณภาพดีจากประเทศไทยสามารถเติบโตไปได้ในตลาดโลก

เบื้องหลังรสชาตินุ่มลึกของกาแฟดอยตุง เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความยั่งยืน คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม มาร่วมเดินทางไปกับเรื่องราวของกาแฟไทย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมประชุมระดับโลก Earthna Summit 2025

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา โดย นายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา (ที่ 5 จากขวา) ร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย นางสาววิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ เข้าร่วมการประชุมระดับโลก Earthna Summit 2025 ถ่ายทอดแนวคิด “การพัฒนาแบบยึดคนเป็นศูนย์กลาง” จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ทำได้จริง พร้อมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ดอยตุงที่เชื่อมโยง “คน-ป่า-ตลาด” อย่างเป็นระบบ ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อเร็วๆ นี้

ข้อมูลเพิ่มเติม
“Earthna Summit 2025” คือเวทีประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวบรวมนักคิด นักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติในการขับเคลื่อนโลกสู่ความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในอนาคต

“The Coffee House by DoiTung” ที่สุดของร้านกาแฟสายพันธุ์พิเศษสัญชาติไทย จากแหล่งสร้างความยั่งยืนบนดอย…สู่โครงการแลนด์มาร์คระดับประเทศ “One Bangkok”

ภายใต้พื้นที่พัฒนาที่สร้างความยั่งยืนให้คนบนดอยสูง กลายเป็นแหล่งกำเนิดกาแฟสายพันธุ์พิเศษที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและจิตวิญญาณของผู้คน กาแฟดอยตุงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดจากไร่สู่แก้วกาแฟในเมืองหลวง สู่การเป็นส่วนหนึ่งของแลนด์มาร์คระดับประเทศ ณ โครงการ One Bangkok (วัน แบงค็อก) พร้อมเปิดประสบการณ์เหนือระดับผ่าน The Coffee House by DoiTung (เดอะ คอฟฟี่ เฮ้าส์ บาย ดอยตุง) คาเฟ่กาแฟสเปเชียลตี้ฝีมือคนไทย ตอกย้ำความสำเร็จของกาแฟไทยบนเวทีโลก

จากจุดเริ่มต้น เมื่อครั้งที่ดอยตุงเคยเผชิญกับปัญหาการปลูกฝิ่น จนได้พลิกฟื้นผืนป่ากลายมาเป็นแหล่งปลูกกาแฟ
ชั้นเลิศในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ภายใต้การดำเนินงานของ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มุ่งเน้นงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้คนในชุมชนแทนการทำสิ่งที่ผิดกฎหมายจากความไม่รู้และขาดโอกาสภายใต้ปรัชญา “คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคน” ทำให้พื้นที่แห่งนี้ได้รับการฟื้นฟูจนกลายเป็นไร่กาแฟอาราบิก้า 100% ที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ควบคู่ไปกับการปลูกป่า เพื่อส่งเสริมเรื่องการปลูกกาแฟคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยโครงการฯ ส่งเสริมและรับซื้อกาแฟจากเกษตรกรจะทำหน้าที่ในการส่งเสริมการทำเกษตรประณีตที่ต้องอาศัยความใส่ใจในการดูแลผลผลิตมากกว่าการปลูกทั่วไป ก่อนจะรับซื้อกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนเป็นไปตามเป้าหมายของโครงการฯ ที่ต้องการพัฒนาเกษตรกรในชุมชนให้สามารถยืนได้อย่างยั่งยืนด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงการในที่สุด ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของมูลนิธิอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ จุดแข็งของกาแฟดอยตุงที่ได้รับการยอมรับในตลาดมาโดยตลอด คือการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดตลอดกระบวนการผลิต ทุกเมล็ดกาแฟสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ว่ามาจากครัวเรือนไหน ขายให้เมื่อใด และคุณภาพของผลผลิตเป็นอย่างไร ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกแก้วที่ถึงมือลูกค้าคือกาแฟเกรด A ทำ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาและวิจัยสายพันธุ์กาแฟ กระบวนการแปรรูป และมาตรฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในความภาคภูมิใจคือ กาแฟสายพันธุ์กาโย (GAYO) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสเปเชียลตี้เกรด และยังมีสายพันธุ์อื่น ๆ อาทิ คาทูร่า (Caturra) และเบอร์บอน (Bourbon) ที่ล้วนผ่านกระบวนการปลูกและคัดสรรอย่างพิถีพิถัน จนได้รับการยอมรับจากนักชิมกาแฟมืออาชีพและเคยคว้ารางวัล Cup of Excellence ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่ให้การยกย่องเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟคุณภาพเยี่ยม ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ดอยตุงและเกษตรกรในพื้นที่แม้แต่กาแฟที่ผลิตในระดับแมสของดอยตุง ก็ยังมีคุณภาพเทียบเท่ากับกาแฟสเปเชียลตี้เกรดทั้งหมดเช่นกัน

นอกจากนี้กาแฟดอยตุงยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศพัฒนาธุรกิจกาแฟโดยคำนึงถึงความยั่งยืน และการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร อาทิ Mi Cafeto, KALDI, MUJI, มหาวิทยาลัยโตเกียว, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีโอกาสเข้าถึงตลาดใหม่ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการปลูกและแปรรูปกาแฟมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันดอยตุงยังให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย

และล่าสุดถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ เมื่อดอยตุงในฐานะแบรนด์กาแฟสัญชาติไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ One Bangkok ไอคอนิคของประเทศไทย ผ่านคาเฟ่หรูที่นำเสนอกาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อ
The Coffee House by DoiTung บอกเล่าเรื่องราวจากดอยสูงสู่กาแฟแก้วพิเศษ ผ่านรสชาติของกาแฟสายพันธุ์พิเศษที่เริ่มต้นจากแหล่งเพาะปลูกที่ดีและการจัดการแปลงที่เป็นระบบ คัดสรรสายพันธุ์กาแฟสเปเชียลตี้หลากหลายสายพันธุ์ และควบคุมกระบวนการคั่วบดโดยผู้เชี่ยวชาญ และได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับสากล การันตีด้วยรางวัล Cup of Excellence และการยอมรับในตลาดญี่ปุ่น รวมถึงกาแฟสเปเชียลตี้ 4 สายพันธุ์ใหม่ ที่ทุ่มเทพัฒนากว่า 3 ปี เพื่อให้ได้รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใคร พร้อมชงอย่างพิถีพิถันโดยบาริสต้าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี รังสรรค์ออกมาเป็นเมนูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดริป DoiTung Specialty Drip Coffee อาทิ Typica (Dry/Natural Process) การันตีด้วยรางวัล ICP และ SEAGCC และ Gesha (Washed Process) ที่มาพร้อม Taste Note ที่โดดเด่น หรือจะเป็น Signature Drinks อาทิ Espresso Honey Tonic, Tiramisu Latte, Biscoff Latte และ Standard Coffee Menu ที่สามารถเลือกเมล็ดกาแฟได้ถึง 3 แบบ ทั้ง House Blend และ Seasonal Blend และสำหรับคนที่ไม่ใช่คอกาแฟนอกจากพระเอกของร้านคือกาแฟดอยตุง คาเฟ่ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ ให้ลองมากมาย อาทิ Pink Coconut Matcha, Chocolate เป็นต้น พร้อมยังมีอาหารและขนมรสชาติเลิศให้สั่งมาทานคู่กับเครื่องดื่มอีกด้วย ท่ามกลางบรรยากาศภายในร้านสุดคลาสสิกของอินทีเรียดีไซน์สไตล์ยุโรเปียนคาเฟ่ ทำให้ผ่อนคลายทุกช่วงเวลา เหมาะกับการนั่งจิบกาแฟชิลๆ หรือนั่งทำงาน รวมทั้งมี Private Zone สำหรับการพบปะสังสรรค์หรือการประชุมแบบกึ่งทางการ พร้อมโซน Slow Bar ให้พูดคุยกับบาริสต้าเรียนรู้เรื่องราวการเดินทางของกาแฟดอยตุงได้ทั้งวัน     

สัมผัสสุดยอดรสชาติแห่งความยั่งยืน สนับสนุนชุมชน พร้อมๆ ไปกับรับประสบการณ์เหนือระดับที่ The Coffee House by DoiTung ที่สุดของร้านกาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ได้แล้ววันนี้ ที่ชั้น 3 ตึก Parade โครงการ One Bangkok เปิดทุกวัน 10:00 – 21:00 น. หรือติดตามได้ที่ IG: thecoffeehouse.doitung

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายใต้แบรนด์ดอยตุง ส่งต่อองค์ความรู้ Zero Waste to Landfill สู่อุตสาหกรรมบันเทิงเป็นครั้งแรก

ท่ามกลางกระแสซีรีส์ไทยที่เติบโตสู่ระดับนานาชาติอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่อง กลายเป็นพื้นที่สื่อสารที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งของยุค ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียง และรายได้มหาศาลให้บุคลากรในวงการฯ และประเทศชาติ ยังเป็นกระบอกเสียงเล่าเรื่องของคนที่ถูกมองข้าม ความเท่าเทียม และช่วยขับเคลื่อนความเข้าใจเรื่องความหลากหลายให้กับสังคม

คำถามใหม่ที่กำลังเริ่มต้นคือ เราจะสร้างผลงานโดยทำให้ผู้ชมเห็นความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อพวกเราเองได้หรือไม่” คำตอบคือ วันนี้จุดเริ่มต้นกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว จากความร่วมมือของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายใต้แบรนด์ DoiTung กับ MOJO MUSE MANAGEMENT (MMM) บริษัทผลิตซีรีส์ที่สอดแทรกประเด็นอัตลักษณ์และวัฒนธรรมในวงการอุตสาหกรรมบันเทิงไทย

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วคือการนำต้นแบบจากที่พัฒนาโครงการ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เพียงสร้างงานอาชีพ สร้างรายได้ให้ชาวบ้านและชุมชน แต่ยังทำให้คนอยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุล รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการไม่มีขยะไปสู่บ่อฝังกลบ 100% เกือบ 10 ปีจนขยายผลไปยังหมู่บ้านโดยรอบอีก 24 หมู่บ้านได้

และวันนี้องค์ความรู้จากดอยตุง จะได้รับการต่อยอดไปถูกปรับใช้ในระดับใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนใน “วงการบันเทิง” ให้ผู้ผลิตสื่อได้เข้าถึงแนวทางการ คัดแยก จัดการ และหมุนเวียนทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การผลิตไม่กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาในวันข้างหน้า และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่แนวทาง Zero Waste to Landfill จะถูกทดลองใช้กับการผลิตซีรีส์หรือคอนเทนต์ในระดับมืออาชีพซึ่งหากสำเร็จ จะไม่ใช่แค่ เบื้องหลังที่ใส่ใจแต่เป็นต้นแบบที่ขยายผลได้ทั้งอุตสาหกรรม

เพราะซีรีส์คือเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในยุคนี้ และกลุ่มเป้าหมายหลักคือคนรุ่นใหม่ ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของสังคมและเป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้ามาทำงานร่วมกับหนึ่งในบริษัทผลิตซีรีส์รุ่นใหม่ที่มีพลังอย่าง MOJO MUSE MANAGEMENT จึงไม่ใช่แค่การจับมือทางเทคนิค แต่เป็นการยืนยันว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมความยั่งยืน และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” สามารถส่งต่อและต่อยอดได้จริงในทุกวงการ เพราะเรื่องของโลกไม่ควรเป็นภาระของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกอุตสาหกรรมบนโลกใบนี้ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น

เรื่องเล่าจากป่าของ Martin van de Bult นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ผู้ค้นพบพืชสปีชีสใหม่ในไทย หลังทำงานวิจัยฟื้นฟูป่าไทยมากว่าสิบปี

Martin van de Bult นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ที่ปัจจุบันทำงานที่ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในตำแหน่งนักพฤกษศาสตร์และนิเวศวิทยาเล่าเรื่องราวการดูแลและฟื้นฟูป่าในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่าสิบปี 

จนมาถึงภารกิจสำคัญเมื่อเขาได้สำรวจพบพรรณไม้ในพื้นที่ดอยตุง ซึ่งเป็นการค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลกในป่าเมืองไทยถึง 3 ชนิด โดย 1 ในนั้นพบในป่าดอยตุงแค่ 2 ต้น

โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ที่หลงไหลป่าในประเทศไทยยังบอกว่า ในวันที่โลกเข้าสู่วิกฤตการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 ซึ่งสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งมาจากการรุกป่าเพื่อทำเกษตรกรรม การปรับเปลี่ยนระบบเกษตรให้ยั่งยืนขึ้นจึงถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ถ้าเรารักธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะรักเรา ถ้าเราดูแลธรรมชาติ ธรรมชาติจะดูแลเราด้วย

คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม