มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ จับมือ สผ. – สพภ. ผลักดันแผนความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ สู่เป้าหมายสิ่งแวดล้อมโลกที่ยั่งยืน

ท่ามกลางความท้าทายด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ ความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นวาระสำคัญระดับโลก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้รับเชิญจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) ให้เข้าร่วมเป็นภาคีในฐานะ ผู้ขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ (Implementation Partner) ภายใต้ บันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ โดยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจจัดขึ้น ณ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันก่อน โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการ สผ. และ นางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ สพภ. ร่วมลงนาม เพื่อยืนยันความร่วมมือในการผลักดัน NBSAP พ.ศ. 2566–2570 ซึ่งเป็นแผนระดับชาติ ฉบับที่ 5 ของประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายอย่างสอดคล้องและยั่งยืน

สาระสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างภาคนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาเครื่องมือทางการเงินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การบูรณาการฐานข้อมูล การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ การผลักดันงานในระดับพื้นที่ร่วมกัน ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน ผ่านระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดำเนินงานภายใต้หลักการพัฒนาของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) “คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคน” มาโดยตลอด ผ่านการพัฒนาที่คำนึงถึงทั้งทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างสมดุล โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งดำเนินงานมาเกือบ 4 ทศวรรษ ภายใต้แนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” ดอยตุงได้กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมเข้าไว้ด้วยกัน ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้ศึกษาติดตามความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อยืนยันว่าแนวทางที่นำมาใช้นั้นสามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อระบบนิเวศได้อย่างแท้จริง

ด้วยประสบการณ์จากการทำงานพัฒนาชุมชนในพื้นที่จริง ทั้งจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ โครงการขยายผลทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ยังได้ประเมินความเสี่ยงทางธรรมชาติในการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมภายใต้แบรนด์ดอยตุง เพื่อให้มูลนิธิฯ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง ลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม รวมถึงสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแก่ชุมชนได้อย่างยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีส่วนร่วม ทีมงานที่มีประสบการณ์ตรง และฐานข้อมูลทางธรรมชาติที่ได้รับการบันทึกอย่างต่อเนื่อง มาใช้สนับสนุนและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพโลก คุนหมิง–มอนทรีออล และเป้าหมาย 30×30 ของประเทศไทย 

โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ (Implementation Partner) ที่เชื่อมั่นว่าการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจะเกิดผลอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อมีการลงมือปฏิบัติในพื้นที่จริง พร้อมการมีส่วนร่วมของชุมชนในฐานะผู้ดูแลทรัพยากรโดยตรง พร้อมเปิดกว้างในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันให้เป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพของชาติสำเร็จอย่างยั่งยืน

You need to add a widget, row, or prebuilt layout before you’ll see anything here. 🙂

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มอบเงินสนับสนุน 1.5 ล้านบาทแก่โครงการอาหารโลก เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล (ขวา) เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้แทนส่งมอบเงินบริจาคจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากการระดมทุนของเครือข่ายภาคีและผู้สนับสนุนของมูลนิธิ ให้แก่ ซาเมีย วันมาลี (ซ้าย) ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งองค์การสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก

เพื่อสนับสนุนการจัดหาอาหารและความช่วยเหลือด้านโภชนาการให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในระยะที่สองของการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ณ สำนักงานโครงการอาหารโลก ประจำกรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

กาแฟดอยตุง ธุรกิจกาแฟที่สร้างความยั่งยืนให้ชุมชน

รู้ไหมว่า ทุกครั้งที่คุณจิบกาแฟดอยตุง แบรนด์กาแฟของไทย คือการได้ต่อยอดวิถีชีวิตของชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ดอยตุง จังหวัดเชียงรายให้สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างพึ่งพาอาศัยและยั่งยืน ลดการทำลายป่าและยังช่วยสนับสนุนให้กาแฟคุณภาพดีจากประเทศไทยสามารถเติบโตไปได้ในตลาดโลก

เบื้องหลังรสชาตินุ่มลึกของกาแฟดอยตุง เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความยั่งยืน คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม มาร่วมเดินทางไปกับเรื่องราวของกาแฟไทย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมประชุมระดับโลก Earthna Summit 2025

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา โดย นายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา (ที่ 5 จากขวา) ร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย นางสาววิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ เข้าร่วมการประชุมระดับโลก Earthna Summit 2025 ถ่ายทอดแนวคิด “การพัฒนาแบบยึดคนเป็นศูนย์กลาง” จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ทำได้จริง พร้อมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ดอยตุงที่เชื่อมโยง “คน-ป่า-ตลาด” อย่างเป็นระบบ ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อเร็วๆ นี้

ข้อมูลเพิ่มเติม
“Earthna Summit 2025” คือเวทีประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวบรวมนักคิด นักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติในการขับเคลื่อนโลกสู่ความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในอนาคต

“The Coffee House by DoiTung” ที่สุดของร้านกาแฟสายพันธุ์พิเศษสัญชาติไทย จากแหล่งสร้างความยั่งยืนบนดอย…สู่โครงการแลนด์มาร์คระดับประเทศ “One Bangkok”

ภายใต้พื้นที่พัฒนาที่สร้างความยั่งยืนให้คนบนดอยสูง กลายเป็นแหล่งกำเนิดกาแฟสายพันธุ์พิเศษที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและจิตวิญญาณของผู้คน กาแฟดอยตุงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดจากไร่สู่แก้วกาแฟในเมืองหลวง สู่การเป็นส่วนหนึ่งของแลนด์มาร์คระดับประเทศ ณ โครงการ One Bangkok (วัน แบงค็อก) พร้อมเปิดประสบการณ์เหนือระดับผ่าน The Coffee House by DoiTung (เดอะ คอฟฟี่ เฮ้าส์ บาย ดอยตุง) คาเฟ่กาแฟสเปเชียลตี้ฝีมือคนไทย ตอกย้ำความสำเร็จของกาแฟไทยบนเวทีโลก

จากจุดเริ่มต้น เมื่อครั้งที่ดอยตุงเคยเผชิญกับปัญหาการปลูกฝิ่น จนได้พลิกฟื้นผืนป่ากลายมาเป็นแหล่งปลูกกาแฟ
ชั้นเลิศในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ภายใต้การดำเนินงานของ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มุ่งเน้นงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้คนในชุมชนแทนการทำสิ่งที่ผิดกฎหมายจากความไม่รู้และขาดโอกาสภายใต้ปรัชญา “คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคน” ทำให้พื้นที่แห่งนี้ได้รับการฟื้นฟูจนกลายเป็นไร่กาแฟอาราบิก้า 100% ที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ควบคู่ไปกับการปลูกป่า เพื่อส่งเสริมเรื่องการปลูกกาแฟคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยโครงการฯ ส่งเสริมและรับซื้อกาแฟจากเกษตรกรจะทำหน้าที่ในการส่งเสริมการทำเกษตรประณีตที่ต้องอาศัยความใส่ใจในการดูแลผลผลิตมากกว่าการปลูกทั่วไป ก่อนจะรับซื้อกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนเป็นไปตามเป้าหมายของโครงการฯ ที่ต้องการพัฒนาเกษตรกรในชุมชนให้สามารถยืนได้อย่างยั่งยืนด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงการในที่สุด ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของมูลนิธิอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ จุดแข็งของกาแฟดอยตุงที่ได้รับการยอมรับในตลาดมาโดยตลอด คือการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดตลอดกระบวนการผลิต ทุกเมล็ดกาแฟสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ว่ามาจากครัวเรือนไหน ขายให้เมื่อใด และคุณภาพของผลผลิตเป็นอย่างไร ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกแก้วที่ถึงมือลูกค้าคือกาแฟเกรด A ทำ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาและวิจัยสายพันธุ์กาแฟ กระบวนการแปรรูป และมาตรฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในความภาคภูมิใจคือ กาแฟสายพันธุ์กาโย (GAYO) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสเปเชียลตี้เกรด และยังมีสายพันธุ์อื่น ๆ อาทิ คาทูร่า (Caturra) และเบอร์บอน (Bourbon) ที่ล้วนผ่านกระบวนการปลูกและคัดสรรอย่างพิถีพิถัน จนได้รับการยอมรับจากนักชิมกาแฟมืออาชีพและเคยคว้ารางวัล Cup of Excellence ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่ให้การยกย่องเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟคุณภาพเยี่ยม ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ดอยตุงและเกษตรกรในพื้นที่แม้แต่กาแฟที่ผลิตในระดับแมสของดอยตุง ก็ยังมีคุณภาพเทียบเท่ากับกาแฟสเปเชียลตี้เกรดทั้งหมดเช่นกัน

นอกจากนี้กาแฟดอยตุงยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศพัฒนาธุรกิจกาแฟโดยคำนึงถึงความยั่งยืน และการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร อาทิ Mi Cafeto, KALDI, MUJI, มหาวิทยาลัยโตเกียว, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีโอกาสเข้าถึงตลาดใหม่ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการปลูกและแปรรูปกาแฟมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันดอยตุงยังให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย

และล่าสุดถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ เมื่อดอยตุงในฐานะแบรนด์กาแฟสัญชาติไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ One Bangkok ไอคอนิคของประเทศไทย ผ่านคาเฟ่หรูที่นำเสนอกาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อ
The Coffee House by DoiTung บอกเล่าเรื่องราวจากดอยสูงสู่กาแฟแก้วพิเศษ ผ่านรสชาติของกาแฟสายพันธุ์พิเศษที่เริ่มต้นจากแหล่งเพาะปลูกที่ดีและการจัดการแปลงที่เป็นระบบ คัดสรรสายพันธุ์กาแฟสเปเชียลตี้หลากหลายสายพันธุ์ และควบคุมกระบวนการคั่วบดโดยผู้เชี่ยวชาญ และได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับสากล การันตีด้วยรางวัล Cup of Excellence และการยอมรับในตลาดญี่ปุ่น รวมถึงกาแฟสเปเชียลตี้ 4 สายพันธุ์ใหม่ ที่ทุ่มเทพัฒนากว่า 3 ปี เพื่อให้ได้รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใคร พร้อมชงอย่างพิถีพิถันโดยบาริสต้าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี รังสรรค์ออกมาเป็นเมนูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดริป DoiTung Specialty Drip Coffee อาทิ Typica (Dry/Natural Process) การันตีด้วยรางวัล ICP และ SEAGCC และ Gesha (Washed Process) ที่มาพร้อม Taste Note ที่โดดเด่น หรือจะเป็น Signature Drinks อาทิ Espresso Honey Tonic, Tiramisu Latte, Biscoff Latte และ Standard Coffee Menu ที่สามารถเลือกเมล็ดกาแฟได้ถึง 3 แบบ ทั้ง House Blend และ Seasonal Blend และสำหรับคนที่ไม่ใช่คอกาแฟนอกจากพระเอกของร้านคือกาแฟดอยตุง คาเฟ่ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ ให้ลองมากมาย อาทิ Pink Coconut Matcha, Chocolate เป็นต้น พร้อมยังมีอาหารและขนมรสชาติเลิศให้สั่งมาทานคู่กับเครื่องดื่มอีกด้วย ท่ามกลางบรรยากาศภายในร้านสุดคลาสสิกของอินทีเรียดีไซน์สไตล์ยุโรเปียนคาเฟ่ ทำให้ผ่อนคลายทุกช่วงเวลา เหมาะกับการนั่งจิบกาแฟชิลๆ หรือนั่งทำงาน รวมทั้งมี Private Zone สำหรับการพบปะสังสรรค์หรือการประชุมแบบกึ่งทางการ พร้อมโซน Slow Bar ให้พูดคุยกับบาริสต้าเรียนรู้เรื่องราวการเดินทางของกาแฟดอยตุงได้ทั้งวัน     

สัมผัสสุดยอดรสชาติแห่งความยั่งยืน สนับสนุนชุมชน พร้อมๆ ไปกับรับประสบการณ์เหนือระดับที่ The Coffee House by DoiTung ที่สุดของร้านกาแฟสเปเชียลตี้สัญชาติไทย ได้แล้ววันนี้ ที่ชั้น 3 ตึก Parade โครงการ One Bangkok เปิดทุกวัน 10:00 – 21:00 น. หรือติดตามได้ที่ IG: thecoffeehouse.doitung

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายใต้แบรนด์ดอยตุง ส่งต่อองค์ความรู้ Zero Waste to Landfill สู่อุตสาหกรรมบันเทิงเป็นครั้งแรก

ท่ามกลางกระแสซีรีส์ไทยที่เติบโตสู่ระดับนานาชาติอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่อง กลายเป็นพื้นที่สื่อสารที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งของยุค ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียง และรายได้มหาศาลให้บุคลากรในวงการฯ และประเทศชาติ ยังเป็นกระบอกเสียงเล่าเรื่องของคนที่ถูกมองข้าม ความเท่าเทียม และช่วยขับเคลื่อนความเข้าใจเรื่องความหลากหลายให้กับสังคม

คำถามใหม่ที่กำลังเริ่มต้นคือ เราจะสร้างผลงานโดยทำให้ผู้ชมเห็นความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อพวกเราเองได้หรือไม่” คำตอบคือ วันนี้จุดเริ่มต้นกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว จากความร่วมมือของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายใต้แบรนด์ DoiTung กับ MOJO MUSE MANAGEMENT (MMM) บริษัทผลิตซีรีส์ที่สอดแทรกประเด็นอัตลักษณ์และวัฒนธรรมในวงการอุตสาหกรรมบันเทิงไทย

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วคือการนำต้นแบบจากที่พัฒนาโครงการ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เพียงสร้างงานอาชีพ สร้างรายได้ให้ชาวบ้านและชุมชน แต่ยังทำให้คนอยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุล รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการไม่มีขยะไปสู่บ่อฝังกลบ 100% เกือบ 10 ปีจนขยายผลไปยังหมู่บ้านโดยรอบอีก 24 หมู่บ้านได้

และวันนี้องค์ความรู้จากดอยตุง จะได้รับการต่อยอดไปถูกปรับใช้ในระดับใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนใน “วงการบันเทิง” ให้ผู้ผลิตสื่อได้เข้าถึงแนวทางการ คัดแยก จัดการ และหมุนเวียนทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การผลิตไม่กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาในวันข้างหน้า และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่แนวทาง Zero Waste to Landfill จะถูกทดลองใช้กับการผลิตซีรีส์หรือคอนเทนต์ในระดับมืออาชีพซึ่งหากสำเร็จ จะไม่ใช่แค่ เบื้องหลังที่ใส่ใจแต่เป็นต้นแบบที่ขยายผลได้ทั้งอุตสาหกรรม

เพราะซีรีส์คือเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในยุคนี้ และกลุ่มเป้าหมายหลักคือคนรุ่นใหม่ ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของสังคมและเป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้ามาทำงานร่วมกับหนึ่งในบริษัทผลิตซีรีส์รุ่นใหม่ที่มีพลังอย่าง MOJO MUSE MANAGEMENT จึงไม่ใช่แค่การจับมือทางเทคนิค แต่เป็นการยืนยันว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมความยั่งยืน และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” สามารถส่งต่อและต่อยอดได้จริงในทุกวงการ เพราะเรื่องของโลกไม่ควรเป็นภาระของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกอุตสาหกรรมบนโลกใบนี้ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น

เรื่องเล่าจากป่าของ Martin van de Bult นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ผู้ค้นพบพืชสปีชีสใหม่ในไทย หลังทำงานวิจัยฟื้นฟูป่าไทยมากว่าสิบปี

Martin van de Bult นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ที่ปัจจุบันทำงานที่ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในตำแหน่งนักพฤกษศาสตร์และนิเวศวิทยาเล่าเรื่องราวการดูแลและฟื้นฟูป่าในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่าสิบปี 

จนมาถึงภารกิจสำคัญเมื่อเขาได้สำรวจพบพรรณไม้ในพื้นที่ดอยตุง ซึ่งเป็นการค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลกในป่าเมืองไทยถึง 3 ชนิด โดย 1 ในนั้นพบในป่าดอยตุงแค่ 2 ต้น

โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ที่หลงไหลป่าในประเทศไทยยังบอกว่า ในวันที่โลกเข้าสู่วิกฤตการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 ซึ่งสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งมาจากการรุกป่าเพื่อทำเกษตรกรรม การปรับเปลี่ยนระบบเกษตรให้ยั่งยืนขึ้นจึงถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ถ้าเรารักธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะรักเรา ถ้าเราดูแลธรรมชาติ ธรรมชาติจะดูแลเราด้วย

คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม

การพัฒนาที่ยั่งยืน : การให้โอกาสและเสริมพลังสตรีบนดอยตุง