corpcom
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที MFLF Sustainability Forum 2025 เวทีเสวนาแห่งปี
กับธีม “วิกฤตโลก ทางออกไทย” ระดมความคิดนำเสนอทางออกยั่งยืนให้ประเทศไทยท่ามกลางวิกฤตโลก
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด“วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale) โดยมี ท่านผู้หญิงบุตรี
วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ
หม่อมหลวง ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิฯ ตลอดจนผู้แทนจากภาครัฐ
ภาคเอกชน และชุมชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568
เวทีครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็น ทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก ผ่านการผสานความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน
งานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ
สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าโลกและไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน
ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การค้า และกฎระเบียบสากลที่เข้มขึ้น ขณะเดียวกันวิกฤตสิ่งแวดล้อม เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่ทั่วโลก กดดันเศรษฐกิจฐานรากของไทย แม้ป่าไม้ในประเทศลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุกจะปรับตัวไม่ทัน รายงาน IPCC ชี้ว่าการดำเนินงานด้านการเงินและการเชื่อมโยงชุมชนยังไม่พอ เน้นย้ำว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร. พิรุณ ยกมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ให้เห็นเป็นกรณีศึกษาว่า การอนุรักษ์ต้องควบคู่การใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลลัพธ์อย่างเป็นธรรม ด้านการค้า มาตรการ CBAM และ EUDR ของสหภาพยุโรปจะกระทบสินค้าส่งออกและรายได้ของประเทศ ส่วนตลาดคาร์บอนในไทยยังอ่อน จำเป็นต้องเชื่อมโยง T-VER กับภาคบังคับ และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป้าหมายสำคัญคือสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ออกกฎหมายและกองทุนภูมิอากาศเชื่อมตลาดคาร์บอนกับภาคบังคับ และกระจายประโยชน์สู่ประชาชน เพื่อให้ไทยก้าวสู่ net zero ปี 2050 ได้อย่างมั่นคง
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึง
บทบาทสำคัญของชุมชนและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในวันนี้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงานหนักและความร่วมมือของชุมชน พร้อมเน้นว่าการอนุรักษ์และการป้องกันจะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน
โดยเน้นย้ำประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการขับเคลื่อนต่อไปว่า BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ การทำงานต่อไปต้องลงลึกกว่าการทำงานแบบเดิม และไม่มองเพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ต้องครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม รวมถึงเรื่อง well-being ซึ่งมีธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย นอกจากนี้ควรคว้าโอกาสจากปัญหา เราพร้อมหรือยังที่จะลงทุนด้าน nature credits เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง อย่างโครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนแสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน รวมถึงต้องมองระยะยาวแบบข้ามรุ่น เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เพียง 10–15 ปี แต่ต้องมองไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน และต้องหากฎเกณฑ์ใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนาที่ควรเป็นของชุมชน โดยภาคการเกษตรคือหัวใจ หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคการเกษตรจะสามารถสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง เนื่องจาก supply chain ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในประเทศเรา และที่สำคัญทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึง cost of action และ cost of inaction ว่าการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร
ต่อจากนั้นเป็นการเสวนาหลัก 3 ช่วง ได้แก่
ช่วงที่ 1 “วิกฤตโลก ทางออกไทย”
มีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคือ คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation
(BiOST) ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย และ ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โดยสะท้อนภาพรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนหลายคนมองว่าการขับเคลื่อนความยั่งยืนขัดกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เนื้อหาในการพูดคุยชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากเกิดการ
“รีบาลานซ์” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวเพื่อสร้าง S curve ใหม่ ลดต้นทุนของการไม่ทำ และใช้กลไก Public Private Partnership (PPP) กับระบบนิเวศที่เอื้อให้ภาคธุรกิจและชุมชนมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเน้นว่าการบริหารจัดการทรัพยากรควรเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ชุมชน คิดเชิงป้องกันมากกว่ารอแก้ไข และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติกว้าง ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ช่วงที่ 2 “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ”
มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ คุณณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
คุณทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) คุณนิรันดร์
นิรันดร์นุต Country Project Manager, UNDP BIOFIN และคุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผู้เสวนาย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ รวมถึงความจำเป็นของคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในฐานะตัวเชื่อมมนุษย์ คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม จึงต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวที่ไม่ใช่เพียงเป็นป่าไม้ แต่เป็นพื้นที่เขียวที่มีระบบนิเวศน์สมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าชุมชนที่สอดคล้องกับ SDGs และเป้าหมาย Net Zero ในขณะเดียวกัน การลงทุนนวัตกรรมทางการเงิน เช่น blended finance และการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน จะเปิดโอกาสสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งลดก๊าซเรือนกระจก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับชีวิตชุมชน พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจผนวกประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์สร้างมูลค่า โครงการป่าชุมชนจึงถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จของคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานสูงและการมีส่วนร่วมของชุมชน และยังเป็นสะพานไปสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ๆ เช่น biodiversity credit และ nature credit ที่กระจายโอกาสการพัฒนาไปยังพื้นที่ชนบท ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนกลายเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจ และกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติก็คือการรักษา และเพิ่มปริมาณความหลากหลายทางชีวภาพที่โลกกำลังสูญเสียไปอย่างมากให้กลับคืนมาเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่นต่อๆไป เพราะถ้าคนไม่รอด ป่าไม่รอด ธุรกิจก็ไม่รอด
ช่วงที่ 3 “เสวนาพิเศษ”
โดยมี คุณวิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ คุณทอน ใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และตัวแทนภาคธุรกิจ ไพบูล ตันกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หุ้นส่วนและกรรมการบริษัท PwC Thailand ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของชุมชนที่ร่วมโครงการป่าชุมชน โดยย้ำว่าการดูแลป่าอย่างเป็นระบบช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันในทุกมิติ ชุมชนทั้งที่แม่โป่งและบ้านปี้มีคณะกรรมการและชาวบ้านทุกช่วงวัยร่วมกันวางกฎระเบียบ ใช้ประโยชน์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน จัดการแหล่งน้ำและเชื้อเพลิง ลดไฟป่า และต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น ทำจานใบไม้ ไม้กวาด น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชนจนเกิดกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่เป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนอื่นด้านภาคเอกชนมองว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการตรวจติดตามการเงิน เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
อีกวาระสำคัญภายในงาน คือพิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจาก 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน และตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่มูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมพร้อมส่งเสริมศักยภาพชุมชนในการรักษาป่าและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
การจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแห่งปีในการระดมความคิดและ ความร่วมมือ และร่วมหาทางออกด้านความยั่งยืน แต่ยังสะท้อนพันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่จะยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน โดยมีทั้งเวทีนี้
และกิจกรรมอื่นๆ เป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร
และประเทศ
รายงานประจำปี 2567
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดกิจกรรมปลูกป่าเสริมฟื้นฟูระบบนิเวศในจังหวัดเชียงราย สืบสานพระราชดำริและน้อมรำลึกถึง “สมเด็จย่า” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 18 กรกฎาคม ครบรอบ 30 ปี
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ครบรอบ 30 ปี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการสวรรคต ณ วัดพระแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย
จากนั้น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับจังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีถวายพานขันดอกสักการะ ณ อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา กรรมการ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน และประชาชนในจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้นำกล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และประกอบพิธีถวายพานพุ่ม หน้าพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ สง่างาม และเปี่ยมด้วยความจงรักภักดี
นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังได้จัดกิจกรรม “โครงการฟูื้นฟูและปรับสภาพป่า (ปลูกป่าเสริม) สืบสานพระราชดำริ พลิกฟื้นคืนป่าธรรมชาติดั้งเดิม” ณ พื้นที่บ้านป่ายาง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บนพื้นที่ฟื้นฟูกว่า 25 ไร่
โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ชุมชนในพื้นที่ และภาคีเครือข่ายร่วมแรงร่วมใจปลูกกล้าไม้ท้องถิ่นหลากหลายชนิด เพื่อสืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนในระยะยาว
กิจกรรมทั้งหมดนี้มุ่งเน้นการ “ปลูกป่า” ควบคู่ไปกับการ “ปลูกคน” เพื่อสืบสานพระราชดำริของสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำของจังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นดินแดนต้นแบบที่เปี่ยมด้วยพลังของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงติดตามความก้าวหน้าของงานพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
วันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระที่นั่งจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จากนั้นเสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปยังบ้านปูนะ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ทรงเยี่ยมราษฎร และทอดพระเนตรความก้าวหน้า โครงการวิจัยและพัฒนาการปลูกชาน้ำมัน
โครงการดังกล่าวนี้ มูลนิธิชัยพัฒนา และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมส่งเสริมราษฎรติดแนวชายแดน ๔๐๓ ครอบครัวของหมู่บ้านปูนะ และหมู่บ้านปางมะหัน ให้มีอาชีพที่มั่นคงโดยปลูกต้นชาน้ำมันในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ๒,๐๑๐ ไร่ โดยในปีที่ผ่านมา เน้นการคัดชาน้ำมันที่มีลักษณะดี และทดลองปลูกชาน้ำมันดอกแดงและต้นชาดอกขาว
โครงการยังได้จัดสรรพื้นที่ป่าใช้สอยให้ดูแลครอบครัวละ ๒ ไร่ พร้อมๆ กับการส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาหลากหลาย ได้แก่ เกษตรกรรม เช่น ข้าวไร่ ฟักทอง ชาอัสสัม ปศุสัตว์ และหัตถกรรม
จากนั้น เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรศูนย์หัตถกรรมชุมชน ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ รับสนองพระราชดำริพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างครบวงจร และเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างอาชีพเสริมให้แก่ราษฎร โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ นำธุรกิจเพื่อสังคมแบรนด์ดอยตุงเป็นผู้ฝึกอบรมและออกแบบผลิตภัณฑ์ ฝึกอบรมให้ราษฎรเย็บจักรได้ตามมาตรฐานพร้อมกับจ้างงานกลุ่มสตรีในชุมชน
ต่อมา เสด็จฯ ไปยังโรงเรียนสังวาลย์วิท ๘ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งก่อตั้งขึ้นด้วยงบประมาณจากกองทุนการกุศลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จำนวน ๒,๖๐๕,๕๒๔ บาท เพื่อก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารประกอบต่าง โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดป้ายอาคารเรียน เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ และได้พระราชทานชื่อโรงเรียนแห่งนี้ว่าโรงเรียนสังวาลย์วิท ๘ ซึ่งปัจจุบัน สังกัด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๓๒ เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นเด็กก่อนวัยเรียน ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีนักเรียนจำนวน ๑๓๒ คน นักเรียนชาย ๗๒ คน นักเรียนหญิง ๖๐ คน พระราชทานเข็มเชิดชูเกียรติ ตลอดจนสิ่งของ เครื่องเขียน พันธุ์ไม้ผลมะม่วงพันธุ์แก้วขมิ้น แก่ผู้แทนราษฎรและผู้ปฏิบัติงาน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับคณะกรรมการหมู่บ้านและคณะกรรมการสถานศึกษา ทรงลงพระนามาภิไธยในสมุดที่ระลึก ตลอดจนทอดพระเนตรกิจกรรมส่งเสริมอาชีพและโครงการต่าง ๆ
จากนั้น เสด็จฯ ไปยัง พระตำหนักดอยตุง ทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๘ และประทับแรม ณ พระตำหนักดอยตุง
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงติดตามงานด้านพัฒนาสภาพแวดล้อมและป่าเศรษฐกิจในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ
วันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการดำเนินงานของศูนย์แยกขยะชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ฟ้าหลวง และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พัฒนาขึ้นเป็นต้นแบบการบริหารจัดการขยะในระดับท้องถิ่น ตามแนวทางหยุดยั้งขยะไปหลุมฝังกลบ หรือ “Zero Waste to Landfill”
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ฯได้ศึกษาวิจัยและทดลอง จนนำมาสู่การพัฒนาโครงการต้นแบบที่ปัจจุบันรวบรวมและคัดแยกขยะครอบคลุม ๒๔ หมู่บ้านและ ๘ โรงเรียนในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ
ศูนย์แยกขยะชุมชนมุ่งให้สมาชิกมีส่วนร่วมโดยง่ายในทุกขั้นตอน อบต. บริหารจัดการเองทั้งระบบ เริ่มจากคัดแยกขยะของชุมชนจากที่บ้าน ทำให้ปัจจุบันประสบความสำเร็จ ไม่มีขยะเหลือไปสู่บ่อฝังกลบ ในขณะเดียวกันร้อยละ ๔๐ ของขยะยังได้นำไปใช้ประโยชน์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยและนวัตกรรมเพิ่มมูลค่า เช่นการทำบล็อกปูพื้นจากเศษกระจก รีไซเคิลกล่องนม ขวดแก้ว จึงทำให้การจัดการขยะในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ๙๗๓ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับป่า ๑,๐๒๔ ไร่
จากนั้น เสด็จฯ ไปยังแปลงป่าเศรษฐกิจ ทอดพระเนตรต้นแมคคาเดเมียที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงปลูกไว้เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกป่าบนดอยตุงเมื่อ ๓๖ ปีที่ผ่านมา
แปลงแมคคาเดเมียดังกล่าวดำเนินการภายใต้ชื่อบริษัทนวุติ ซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อสังคมในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ โดยมีผู้ถือหุ้นปัจจุบันของบริษัทนวุติร่วมรับเสด็จฯ ได้แก่ มิตซุยแอนด์คัมปนี (ไทยแลนด์) – สุมิโตะโมะ มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น – บริษัทเอื้อชูเกียรติ และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งรวมตัวกันเพื่อใช้ป่าเศรษฐกิจเป็นฐานสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชนทดแทนพืชเสพติดและแก้ไขปัญหาเขาหัวโล้น ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการ “ปลูกป่า ปลูกคน” และปกป้อง “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”
ป่าเศรษฐกิจกลายเป็นพื้นฐานให้ประชาชนบนดอยตุงประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน มีความพร้อมและร่วมขยายการปลูกป่าจนครบ ๙๐,๐๐๐ ไร่ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและสภาพแวดล้อมในระยะยาว
ป่าที่สมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพบนดอยตุงได้รับการรับรองว่าผลิต ๔๑๙,๐๐๐ ตันคาร์บอนได้ออกไซด์เทียบเท่า และนอกจากนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ฯ ยังได้นำประสบการณ์ไปร่วมพัฒนาป่าร่วมกับราชการ เอกชน และชุมชนทั่วประเทศครอบคลุมพื้นที่ ๕๓๖,๑๖๙ ไร่ในปัจจุบัน
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ จับมือ สผ. – สพภ. ผลักดันแผนความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ สู่เป้าหมายสิ่งแวดล้อมโลกที่ยั่งยืน
ท่ามกลางความท้าทายด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ ความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็นวาระสำคัญระดับโลก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้รับเชิญจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) ให้เข้าร่วมเป็นภาคีในฐานะ ผู้ขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ (Implementation Partner) ภายใต้ บันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ โดยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจจัดขึ้น ณ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันก่อน โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการ สผ. และ นางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ สพภ. ร่วมลงนาม เพื่อยืนยันความร่วมมือในการผลักดัน NBSAP พ.ศ. 2566–2570 ซึ่งเป็นแผนระดับชาติ ฉบับที่ 5 ของประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายอย่างสอดคล้องและยั่งยืน
สาระสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างภาคนโยบายและภาคปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาเครื่องมือทางการเงินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การบูรณาการฐานข้อมูล การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ การผลักดันงานในระดับพื้นที่ร่วมกัน ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน ผ่านระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดำเนินงานภายใต้หลักการพัฒนาของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) “คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคน” มาโดยตลอด ผ่านการพัฒนาที่คำนึงถึงทั้งทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างสมดุล โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งดำเนินงานมาเกือบ 4 ทศวรรษ ภายใต้แนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” ดอยตุงได้กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมเข้าไว้ด้วยกัน ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้ศึกษาติดตามความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อยืนยันว่าแนวทางที่นำมาใช้นั้นสามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อระบบนิเวศได้อย่างแท้จริง
ด้วยประสบการณ์จากการทำงานพัฒนาชุมชนในพื้นที่จริง ทั้งจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ โครงการขยายผลทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ยังได้ประเมินความเสี่ยงทางธรรมชาติในการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมภายใต้แบรนด์ดอยตุง เพื่อให้มูลนิธิฯ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง ลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม รวมถึงสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแก่ชุมชนได้อย่างยั่งยืน
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีส่วนร่วม ทีมงานที่มีประสบการณ์ตรง และฐานข้อมูลทางธรรมชาติที่ได้รับการบันทึกอย่างต่อเนื่อง มาใช้สนับสนุนและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพโลก คุนหมิง–มอนทรีออล และเป้าหมาย 30×30 ของประเทศไทย
โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ (Implementation Partner) ที่เชื่อมั่นว่าการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจะเกิดผลอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อมีการลงมือปฏิบัติในพื้นที่จริง พร้อมการมีส่วนร่วมของชุมชนในฐานะผู้ดูแลทรัพยากรโดยตรง พร้อมเปิดกว้างในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันให้เป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพของชาติสำเร็จอย่างยั่งยืน
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มอบเงินสนับสนุน 1.5 ล้านบาทแก่โครงการอาหารโลก เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล (ขวา) เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้แทนส่งมอบเงินบริจาคจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากการระดมทุนของเครือข่ายภาคีและผู้สนับสนุนของมูลนิธิ ให้แก่ ซาเมีย วันมาลี (ซ้าย) ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งองค์การสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
เพื่อสนับสนุนการจัดหาอาหารและความช่วยเหลือด้านโภชนาการให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในระยะที่สองของการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ณ สำนักงานโครงการอาหารโลก ประจำกรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
กาแฟดอยตุง ธุรกิจกาแฟที่สร้างความยั่งยืนให้ชุมชน
รู้ไหมว่า ทุกครั้งที่คุณจิบกาแฟดอยตุง แบรนด์กาแฟของไทย คือการได้ต่อยอดวิถีชีวิตของชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ดอยตุง จังหวัดเชียงรายให้สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างพึ่งพาอาศัยและยั่งยืน ลดการทำลายป่าและยังช่วยสนับสนุนให้กาแฟคุณภาพดีจากประเทศไทยสามารถเติบโตไปได้ในตลาดโลก
เบื้องหลังรสชาตินุ่มลึกของกาแฟดอยตุง เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความยั่งยืน คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม มาร่วมเดินทางไปกับเรื่องราวของกาแฟไทย
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมประชุมระดับโลก Earthna Summit 2025
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา โดย นายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา (ที่ 5 จากขวา) ร่วมกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย นางสาววิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ เข้าร่วมการประชุมระดับโลก Earthna Summit 2025 ถ่ายทอดแนวคิด “การพัฒนาแบบยึดคนเป็นศูนย์กลาง” จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ทำได้จริง พร้อมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ดอยตุงที่เชื่อมโยง “คน-ป่า-ตลาด” อย่างเป็นระบบ ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อเร็วๆ นี้
ข้อมูลเพิ่มเติม
“Earthna Summit 2025” คือเวทีประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวบรวมนักคิด นักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัติในการขับเคลื่อนโลกสู่ความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในอนาคต