มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดพื้นที่โชว์เคสความยั่งยืน ปลุกแรงบันดาลใจคนเมืองยุคใหม่ @NEXTOPIA สยามพารากอน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดย หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมกับ สยามพารากอน และสยามพิวรรธน์ เปิดพื้นที่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่สุดแห่งประสบการณ์ความยั่งยืน ณ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ป๊อปอัพ” ชั้น 5A โซน NEXTOPIA สยามพารากอน เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคตใจกลางกรุงเทพฯ ถ่ายทอดเรื่องราว และองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนผ่าน 3 โซนภายในพื้นที่

โซนที่ 1 นิทรรศการ “เส้นทางแม่ฟ้าหลวง” ที่ถ่ายทอดการเดินทางกว่า 37 ปีของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย จากวันที่ดอยตุงเผชิญปัญหาป่าเสื่อมโทรมและความยากลำบากของผู้คน สู่การพลิกฟื้นภูเขาหัวโล้นให้กลายเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม จนได้รับการยอมรับเป็นต้นแบบความยั่งยืนของไทยและระดับโลกภายในนิทรรศการ ผู้ชมจะได้เห็นภาพการเปลี่ยนผ่านอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปัญหาเดิมของพื้นที่ ไปจนถึงผลลัพธ์จากแนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่ไม่ได้สร้างเพียงพื้นที่สีเขียว แต่ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืน ทั้งพันธุ์ไม้และสัตว์ป่า สะท้อนระบบนิเวศที่สมดุลควบคู่กับสังคมที่เข้มแข็ง

นิทรรศการยังเชื่อมโยงแนวคิดความยั่งยืนให้คนเมืองเข้าถึงผ่านผลิตภัณฑ์แบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม “ดอยตุง” ชวนให้เห็นว่า การตัดสินใจในชีวิตประจำวันสามารถร่วมดูแลป่าและชุมชนได้จริง และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาที่จับต้องได้ ต่อเนื่องถึงภารกิจใหม่ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่ขยายผลจากดอยตุงสู่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ผ่าน “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” สนับสนุนให้ชุมชนร่วมดูแลป่า สร้างคาร์บอนเครดิตให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เกิดรายได้หมุนเวียนเพื่อดูแลป่า ลดไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 พร้อมตอกย้ำบทบาทมูลนิธิฯ ในฐานะผู้นำและที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนที่ทำงานครบทุกมิติ ทั้งคน ชุมชน ธรรมชาติ และเศรษฐกิจ ทั้งหมดยังคงยึดการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยยึดคนเป็นศูนย์กลาง และทุกโครงการได้สร้าง total well-being ให้เกิดขึ้นในไทยโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจนเป็นที่ประจักษ์ และยอมรับทั่วโลก

โซนที่ 2 ดอยตุง ป๊อปอัพ สโตร์ ที่ขนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตอย่างยั่งยืนมาให้ได้เลือกชิมเลือกช็อปไม่ว่าจะเป็นกาแฟที่ปลูกใต้ร่มไม้ที่ยกมาทั้งคาเฟ่ แมคคาเดเมียและผลิตภัณฑ์แปรรูป ต้นไม้หลากหลายพันธุ์ สินค้าหัตถกรรมผ้าทอมือที่ต่อยอดเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า และของใช้ในบ้านร่วมสมัย ตลอดจนเครื่องปั้นดินเผา ที่มาพร้อมเรื่องเล่าจากกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้สีจากธรรมชาติ และการนำเส้นใยรีไซเคิลจากขวดพลาสติกมาทอเป็นพรม

โซนที่ 3 กิจกรรมรักษ์โลกจากค่ายเด็กใฝ่ดี เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะเยาวชนและคนรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เรียนรู้การปรับตัวและมองหาวิธีมีส่วนร่วมดูแลโลกผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อปอย่างสร้างสรรค์

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยเซเลบริตีและแขกผู้มีเกียรติที่ตั้งใจมาดูงานพัฒนาของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อย่างคึกคัก อาทิ เปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย, ม.ล.อรดิศ (ดิศกุล) สนิทวงศ์,
แพรี่พาย-อมตา จิตตะเสนีย์, ชัชชฎา ก้องธรนินทร์, คุณาคม พลพาณิชย์, จิราภรณ์ อังคเศกวิไล, ยุวรินทร์ อัครวกิติโรจน์ และ สต๊อบ-พีรพัฒน์ ภาคนาที เป็นต้น

โดยหนึ่งในนั้น น้อยหน่า เพ็ญสุภา คชเสนี บอกว่าเป็น “แฟนพันธุ์แท้” ของมูลนิธิฯ มายาวนาน “ติดตามงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มาตลอด รู้สึกเสมอว่านี่คือองค์กรที่ทำงานหน้างานจริง อยู่กับชุมชนจริง และไม่เคยทิ้งพื้นที่พัฒนา พอได้มาเห็นนิทรรศการที่เล่าเส้นทางจากดอยตุง มาถึงงานด้านคาร์บอนเครดิตและป่าชุมชน รู้สึกทั้งตื่นเต้นและภูมิใจในฐานะคนไทย ที่ได้เห็นว่างานปลูกป่า ปลูกคน ตลอดหลายสิบปี ถูกยอมรับบนเวทีความยั่งยืนทั้งในประเทศและระดับโลก”

อีกมุมหนึ่งของงาน มิ้น ณิชชา บุณยากร เซเลบริตีรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสนใจประเด็นคุณภาพชีวิตคนเมือง มองว่าพื้นที่นี้ช่วยให้คำว่าความยั่งยืนเข้าใจง่ายและใกล้ตัวมากขึ้น “ทุกวันนี้วิกฤตสภาพอากาศโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง เราเห็นจากฝุ่น PM 2.5 ที่เข้ามาถึงห้องนอน ต้องเช็กค่าฝุ่นก่อนออกจากบ้าน มันชัดมากว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะอยู่บนดอยหรืออยู่ในเมือง สำหรับมิ้น การเริ่มจากสิ่งเล็กๆ อย่างแยกขยะ ลดของใช้ครั้งเดียวทิ้ง พกแก้วน้ำของตัวเอง หรือเลือกใช้ของที่ใช้ได้นานขึ้น ล้วนเป็นก้าวสำคัญในการช่วยดูแลโลกใบนี้”

ด้าน กบ ฐิติพงษ์ ล้อประเสริฐ อีกหนึ่งแขกคนสำคัญที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักงานคราฟต์และของทำมือจากชุมชน เล่าว่า ปกติก็อุดหนุนสินค้าของคนไทยอยู่แล้ว แต่การได้มาทำความรู้จักเบื้องหลังของดอยตุงใกล้ๆ ทำให้มองลึกลงไปมากกว่าแค่ดีไซน์ “เราเพิ่งได้รู้ว่ากาแฟดอยตุงปลูกแบบช่วยรักษาป่า พรมหลายผืนมาจากเส้นใยรีไซเคิลขวดพลาสติก เสื้อผ้าหลายคอลเลกชันใช้สีย้อมธรรมชาติ และออกแบบให้เหลือเศษผ้าน้อยที่สุด พอเข้าใจที่มาที่ไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าการอุดหนุนหนึ่งครั้งของเรา ไม่ได้แค่ได้ของสวยๆ กลับบ้าน แต่ได้ช่วยทั้งป่า ชุมชน และโลกใบนี้ไปพร้อมกันด้วย”

พบกับ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ป๊อปอัพ” ได้ที่ โซน NEXTOPIA ชั้น 5A สยามพารากอน ตั้งแต่วันนี้ถึง กุมภาพันธ์ 2569 ติดตามข้อมูลได้ทางเฟซบุ๊กเพจ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และเพจ DoiTungClub

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

ม.ล.อรดิศ (ดิศกุล) สนิทวงศ์ และ เปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย

แพรี่พาย-อมตา จิตตะเสนีย์

น้อยหน่า เพ็ญสุภา คชเสนี

มิ้น ณิชชา บุณยากร

กบ ฐิติพงษ์ ล้อประเสริฐ

หฤษฏ์ ลักษณะโยธิน เกิดทิพย์

เซเลบริตี้สนใจการโชว์ทอผ้าจากแม่ๆ ที่บินตรงมาจากดอยตุง

ชัชชฎา ก้องธรนินทร์ ชมดอกไม้จากทีมเกษตรดอยตุง

ยุวรินทร์ อัครวกิติโรจน์ และ สต๊อบ-พีรพัฒน์ ภาคนาที

จิราภรณ์ อังคเศกวิไล

คุณาคม พลพาณิชย์  ชัชชฎา ก้องธรนินทร์ และ กบ ฐฺิติพงษ์ ล้อประเสริฐ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เดินหน้าในบทบาทผู้นำขับเคลื่อน “คาร์บอนเครดิตป่าชุมชน” โชว์เคส “บ้านหัวทุ่ง” โมเดลต้นแบบคาร์บอนเครดิตจากป่าสงวนชีวมณฑล ดอยเชียงดาว ที่สะท้อนเรื่อง ป่าฟื้น คนยั่งยืน

หลังจากที่ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งมอบคาร์บอนเครดิตระยะที่ 1 จำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 “วิกฤตโลก ทางออกไทย” ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ล่าสุด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดกิจกรรมเยี่ยมชมและดูงาน “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ควบคู่การรับฟังประสบการณ์การดูแลป่าจากตัวแทนเครือข่ายป่าชุมชนในภาคเหนือ เพื่อสะท้อนผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม จากการดูแลป่าแบบมีส่วนร่วม โดยนำเสนอภาพรวมตลอดกว่า 5 ปีที่โครงการฯ ขยายการดูแลป่าชุมชนกว่า 300 แห่ง ครอบคลุมเนื้อที่ป่าชุมชนกว่า 287,000 ไร่ ลดพื้นที่เสียหายจากไฟป่าในพื้นที่รุ่นแรกลงได้มากกว่า 20% และส่งมอบงบประมาณเข้า “กองทุนชุมชน” สะสมกว่า 157 ล้านบาท พร้อมโชว์เคสกรณีศึกษา “บ้านหัวทุ่ง” อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งกำเนิด “น้ำออกฮู” ในเขตสงวนชีวมณฑลดอยเชียง  ดาว ตัวอย่างชุมชนที่มี ผู้นำสตรี ขับเคลื่อนให้การดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริต โปร่งใส ตรวจวัด ทวนสอบได้สร้าง  คุณค่าร่วมให้รัฐ เอกชน ชุมชน และหนุนเป้าหมาย Net Zero และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างยั่งยืน ณ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ Head of Nature-based Solutions and Special Projects มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึงภาพรวมโครงการ “จัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พัฒนาโมเดลคาร์บอนเครดิตที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์ป่าและความเป็นอยู่ของคนไปพร้อมกัน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ภายใต้มาตรฐาน T‑VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โครงการเริ่มจากโมเดล “ปลูกป่า ปลูกคน” ณ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาโลก จนขยายผลสู่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่กว่า 287,000 ไร่ ดูแลโดยชุมชนมากกว่า 300 ชุมชนใน 12 จังหวัด ในภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 150,000 คน และได้รับแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 30 องค์กร ตัวชี้วัดเชิงพื้นที่ยืนยันผลลัพธ์จริงพื้นที่เสียหายจากไฟป่าของพื้นที่โครงการระยะที่ 1–2 ลดจากค่าเฉลี่ย 12% เหลือ 4% (พ.ศ. 2567) ส่วนระยะที่ 3 ลดจาก 8% เหลือ 3% สะท้อนประสิทธิภาพการดูแลป่าอย่างต่อเนื่องทั้ง   ฤดูไฟและนอกฤดูไฟ

หัวใจของโครงการคือ “ชุมชนเป็นเจ้าของกติกา ข้อมูล ผลประโยชน์” เงินสนับสนุนที่มาจากภาคีและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตถูกออกแบบให้ไปสู่หมู่บ้านผ่านสองกองทุน ได้แก่ กองทุนดูแลป่าเพื่อใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า และป้องกันและบรรเทาไฟป่าเช่น ทำแนวกันไฟ ลาดตระเวน สร้างฝายชะลอน้ำ ปลูก‑ฟื้นฟูป่า และกองทุนพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมรายได้ฐานรากและลดแรงกดดันต่อทรัพยากร เงินสองกองทุนหมุนเวียนแล้วกว่า 157 ล้านบาท โดยชุมชนวางแผน เสนอโครงการ และติดตามและรายงานผลกันเอง มูลนิธิฯ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงด้านมาตรฐาน การติดตาม‑ตรวจวัด (Measurement, Reporting and Verification: MRV) และธรรมาภิบาล ทำให้การดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริตที่ยกคุณภาพชีวิตคนและต่ออายุป่า

อย่างไรก็ตามเพื่อให้คาร์บอนเครดิตมีคุณภาพและตรวจสอบได้ โครงการใช้แปลงตัวอย่างภาคสนามตามมาตรฐาน T‑VER ผนวกกับผลแปลภาพถ่ายประเภทป่าและความหนาแน่นชั้นเรือนยอด เปรียบเทียบข้อมูล ขณะเริ่มโครงการ กับ “หลังเข้าโครงการ” เพื่อประเมินการกักเก็บและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในป่าชุมชน ซึ่งทำให้ข้อมูลโปร่งใส ทวนสอบได้ และต่อยอดสู่การขอรับรองคาร์บอนเครดิตในอนาคต โดยรักษาหลักการผู้ทำจริงได้ประโยชน์จริง

ตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจนอีก 1 ชุมชน คือ “ชุมชนบ้านหัวทุ่ง” อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชุมชนเองได้พิสูจน์ความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนในฐานะชุมชนต้นแบบในพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว และแหล่งกำเนิด “น้ำออกฮู” สายน้ำย่อยของแม่น้ำปิง ชุมชนแห่งนี้เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตั้งแต่ปี 2565 โดยดูแลป่าชุมชน 883.93 ไร่ จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน

ความสำเร็จนี้อยู่ภายใต้การนำของ “แม่หลวงศิริวรรณ ศรีเงิน” ผู้นำชุมชนสตรีที่รวบรวมพลังคนทุกวัย สร้างโครงสร้างบทบาทและธรรมาภิบาลที่ชัดเจนในชุมชน ทั้งการตั้งกติกาการใช้ประโยชน์ป่า จัดเวรยามลาดตระเวน ทำแนวกันไฟ และเก็บข้อมูลแปลงตัวอย่างร่วมกับทีมเทคนิค ทำให้ป่าฟื้นตัวต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงไฟป่าอย่างมีนัยสำคัญ และยกระดับความมั่นคงของระบบนิเวศต้นน้ำ ซึ่งคนทั้งลุ่มน้ำปิงได้รับประโยชน์ร่วมกัน

จุดเด่นของบ้านหัวทุ่งคือ รายได้ไม่ได้มาจากการบุกรุกป่า หากแต่มาจาก “การดูแลป่า” และ “การต่อยอดภูมิปัญญา” เงินสนับสนุนจากกองทุนในโครงการฯ ถูกนำมาทำเพาะให้เกิดการจ้างงานดูแลป่า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรอย่างน่าทึ่ง อาทิ การนำเศษไม้ไผ่เหลือใช้จากงานจักสาน มาเผาเป็นถ่าน และพัฒนาต่อเป็นก้อนดับกลิ่น ที่ดันทรงรองเท้า สบู่ และยาสีฟัน สร้างรายได้เสริมแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสในชุมชน

ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จนี้ยังได้ขยายผลสู่ชุมชนข้างเคียงอีก 5 หมู่บ้าน เกิดการถ่ายทอดทักษะอาชีพหลากหลาย ทั้งการเพาะเห็ด เลี้ยงผึ้ง อาหารพื้นถิ่น และงานจักสาน ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นเส้นทางอาชีพในบ้านเกิดโดยไม่ต้องเบียดเบียนป่า และเกิดความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะ “ผู้พิทักษ์ต้นน้ำ”

ในมุมสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ของบ้านหัวทุ่งและเครือข่ายชี้ชัดว่าการป้องกันเชิงรุกทำให้ไฟป่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงลดความเสี่ยง PM2.5 จากไฟป่าและการสูญเสียคาร์บอนกักเก็บ ป่าที่ฟื้นตัวช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศสำคัญ เช่น การซึมซับน้ำฝน การลดการพังทลายของดิน และการรักษาต้นทุนคุณภาพน้ำของประเทศ เมื่อป่าต้นน้ำแข็งแรง เศรษฐกิจฐานทรัพยากรที่พึ่งพาน้ำก็มั่นคงขึ้น ทั้งต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และเมืองปลายน้ำที่ต้องการน้ำประปาคุณภาพ ซึ่งคือประโยชน์สาธารณะของคนทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต

ในมุมเศรษฐกิจของชุมชนคาร์บอนเครดิตทำหน้าที่เป็น “แรงจูงใจที่ยุติธรรม” มากกว่าจะเป็นเพียงเครื่องมือชดเชยร่องรอยคาร์บอนของธุรกิจ ราคาซื้อขายในตลาดสมัครใจภายในประเทศขึ้นอยู่กับปีวินเทจ (Vintage Year เป็นศัพท์เฉพาะในวงการคาร์บอนเครดิต = ปีที่คาร์บอนเครดิตถูกสร้างจากการลดก๊าซเรือนกระจกจริงและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กำหนด “ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต” ในตลาดสมัครใจ) คุณภาพข้อมูล และคู่สัญญา แต่โดยภาพรวมยังอยู่ใน “หลักพันบาทต่อหนึ่งตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” ตัวอย่างราคาอ้างอิงสาธารณะอยู่ราว 2,000 บาท/ตัน CO₂e เมื่อขายได้ เงินส่วนชุมชนจะกลับเข้าสู่สองกองทุนเพื่อจ้างงานดูแลป่าและต่อยอดอาชีพต่อเนื่อง เกิดวัฏจักร “เงิน‑งาน‑ป่า” ที่หมุนเวียนในพื้นที่และทำให้การอนุรักษ์คงอยู่ได้ด้วยตัวเองระยะยาว

โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแสดงให้เห็นภาพใหญ่ที่สังคมไทยกำลังมองหารูปธรรมของคาร์บอนเครดิตที่ยึดโยงกับชีวิตคนในชุมชน ปกป้องต้นน้ำ สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และส่งมอบอากาศและน้ำที่ดีให้คนทั้งประเทศ “บ้านหัวทุ่ง” จึงมิใช่เพียงตัวอย่างความสำเร็จของป่าชุมชนเชียงดาว หากเป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อกติกาและแรงจูงใจถูกออกแบบให้เป็นธรรม คาร์บอนเครดิตก็จะกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างป่าที่สมบูรณ์ สังคมที่เท่าเทียม และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จนก่อให้เกิด Total Well-being ได้อย่างแท้จริง

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โชว์เคสความยั่งยืน ผ่านนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ ที่ NEXTOPIA เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย หฤษฏ์ ลักษณะโยธิน เกิดทิพย์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เปิดพื้นที่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “สุดแห่งประสบการณ์ความยั่งยืน” ถ่ายทอดแนวคิดการทำงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติ ผ่านนิทรรศการ “เส้นทางแม่ฟ้าหลวง” ย้อนรอยจุดเริ่มต้นกว่าจะมาเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมต่อ ยอดแนวคิดผ่านผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม ดอยตุง อาทิ กาแฟ แมคคาเดเมีย หัตถกรรมผ้าทอมือ และเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น โดยมี เพ็ญสุภา คชเสนี (ที่ 2 จากขวา) ฐิติพงษ์ ล้อประเสริฐ (ซ้ายสุด) และชัชชฎา ก้องธรนินทร์ (ที่ 3 จากขวา) ร่วมงาน ณ แม่ฟ้าหลวง ป๊อปอัพ โซน NEXTOPIA ชั้น 5A สยามพารากอน เมื่อวันก่อน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจากฐานชุมชนสู่ COP30 บราซิล หนุนการแก้วิกฤตภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero อย่างยั่งยืน ด้วยคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานและตรวจสอบได้

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทีมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) เวทีสำคัญของการกำหนดทิศทางโลกด้าน Climate และ Nature ระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ณ เมืองเบเล็ง รัฐปารา ประเทศบราซิล

โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในหลายเวทีของ UNFCCC และ Thailand Pavilion พร้อมยกบทเรียนจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย และพื้นที่ป่าชุมชนของไทยขึ้นสู่การสนทนาเชิงนโยบายระดับสากล สะท้อนแนวทางการพัฒนาที่เชื่อมโยงคน ชุมชน ธรรมชาติ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำบทบาทขององค์กรไทยที่นำประสบการณ์จากพื้นที่จริงไปเชื่อมโยงสู่การออกแบบแนวนโยบายระดับโลก และย้ำว่าการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและการอนุรักษ์ธรรมชาติจะเกิดผลอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อเริ่มจากคนและชุมชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่ คุ้มครองสิทธิในที่ดิน ใช้เทคโนโลยีและกลไกทางการเงินที่โปร่งใสเพื่อเสริมพลัง และเปิดพื้นที่ให้องค์ความรู้จากภาคสนามมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของโลกบนฐานความร่วมมือระหว่างประเทศที่ยั่งยืนและเท่าเทียม

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวในหลายเวทีสำคัญของการประชุม ทั้ง “Tokenization: Decentralizing Carbon Market” และ “Connecting the Dots from Ground Action to Global Commitments Through High Integrity Climate and Nature Implementation” ว่าโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจคาร์บอนสูงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเกิดผลได้จริงก็ต่อเมื่อ   “คนและชุมชน” เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนผ่าน โดยเน้นย้ำว่า “หัวใจของ Climate และ Nature ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือกลไกทางการเงิน แต่คือผู้คนแนวหน้าที่อยู่กับป่า ทำเกษตร และดูแลระบบนิเวศ เทคโนโลยีควรถูกใช้เพื่อให้โลกมองเห็นและเคารพในคุณค่าของพวกเขาอย่างเป็นธรรม”

พร้อมกันนี้ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ชี้ว่า ตลาดคาร์บอนในอนาคตควรเปิดกว้าง โปร่งใส และเข้าถึงได้ในระดับประชาชน โดยเทคโนโลยีอย่าง tokenization และ blockchain จะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือ ทำให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ และตรวจสอบได้ว่ามูลค่าที่เกิดขึ้นไหลกลับสู่ชุมชนผู้ดูแลป่าอย่างเป็นธรรม พร้อมกล่าวไว้ว่า “หากคาร์บอนเครดิตกลายเป็นเพียงสินทรัพย์ในตลาด โดยที่ชุมชนไม่ได้รับประโยชน์ โลกก็จะยังติดอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมเช่นเดิม”

 ในมุมเชิงนโยบาย หม่อมหลวงดิศปนัดดา เสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับบางส่วนของงบประมาณด้านพลังงานหรือการอุดหนุนอุตสาหกรรม ไปสนับสนุนการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่าแต่สร้างผลกระทบเชิงบวกได้สูงกว่า พร้อมเน้นแนวคิด “Collective Capitalism” หรือทุนนิยมที่เห็นคุณค่าร่วมระหว่างคน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยย้ำว่า “เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการใช้ทุนเพื่อผลกำไร มาเป็นการใช้ทุนเพื่อสร้างคุณค่าให้สังคมและธรรมชาติร่วมกัน”

นอกจากนี้ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ยังกล่าวถึงบทบาทของเยาวชน โดยมองว่าเสียงของคนรุ่นใหม่กำลังมีอิทธิพลสูงขึ้น ทั้งในฐานะผู้บริโภคและผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจ “เรากำลังตัดสินอนาคตของคนที่ยังไม่เกิด งานด้านสิ่งแวดล้อมจึงต้องคิดข้ามรุ่น ต้องลงมือทำให้เร็ว และต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ”

ขณะที่ รัมภ์รดา นินนาท หัวหน้าสายงานความยั่งยืน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมเวที “Forests, Agriculture and the Green Economy of the Global South” เพื่อนำเสนอกรณีศึกษาจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ พื้นที่ชายแดนไทยกับเมียนมาที่เคยเผชิญความยากจนและการบุกรุกป่า แต่สามารถฟื้นฟูป่าและสร้างรายได้ให้ชุมชนได้อย่างมั่นคง โดยกล่าวว่า “ดอยตุงพิสูจน์แล้วว่าการฟื้นฟูป่าจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อคนในพื้นที่มีทางเลือกทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าเดิม และองค์ความรู้จากพื้นที่จริงคือสิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาสามารถแบ่งปันให้โลกได้” พร้อมย้ำว่าความร่วมมือของประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวจากฐานราก

สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature based Solutions และโครงการพิเศษมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเผยในเวที “Market Opportunities and Strategies” และ “Case Study of Tropical Forest Conservation” ว่า ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้เมื่อชุมชนมีอาชีพมั่นคง สินค้าเกษตรได้มาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และมีความร่วมมือระยะยาวกับภาคเอกชน โดยกล่าวว่า “ถ้าเราอยากให้ป่าอยู่ได้ยาวนาน เราต้องทำให้คนที่อยู่กับป่ามองเห็นอนาคตของตัวเองได้ยาวไม่แพ้กัน” พร้อมเสนอการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความโปร่งใสในการจัดการไฟป่าและโครงการคาร์บอนเครดิตของชุมชน

ส่วน ดร.ธนพงศ์ ดวงมณี ผู้อำนวยการด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมแลกเปลี่ยนในเวที “Carbon Accounting 2.0: Accelerating Transparency and Trust on the Road to Net Zero 2050” โดยชี้ให้เห็นว่า การทำ Carbon Accounting ที่เชื่อถือได้ต้องอาศัยข้อมูลจากพื้นที่จริงและการมีส่วนร่วมของชุมชน “ถ้าระบบบัญชีคาร์บอนเริ่มต้นโดยไม่มีเสียงและข้อมูลจากพื้นที่จริง ต่อให้แบบจำลองซับซ้อนเพียงใดก็สร้างความเชื่อมั่นไม่ได้” พร้อมอธิบายว่า การเชื่อมโยงข้อมูลระดับชุมชนเข้ากับมาตรฐานระดับประเทศจะช่วยยกระดับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของกลไก Carbon Accounting ของไทยบนเส้นทาง Net Zero

ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เข้าร่วมเวที “Local Experiences in Land Regularization for the Promotion of Sustainable Development” โดยย้ำว่าสิทธิในที่ดินคือ “กระดุมเม็ดแรก” ของการพัฒนา หากไม่จัดการให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ชุมชนจะขาดความมั่นคงและไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ พร้อมกล่าวในเวทีว่า “การคุยเรื่อง Climate และ Nature โดยไม่คุยเรื่องสิทธิในที่ดิน เท่ากับเรายังไม่ได้คาดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก” ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างแนวทางของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ทำข้อตกลงร่วมกับชุมชนเพื่อแบ่งเขตป่าและพื้นที่ทำกิน ช่วยให้ชาวบ้านวางแผนปลูกพืชระยะยาวและใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ

เทศกาลแจ๊สในสวนดอกไม้ JAZZ IN THE MAE FAH LUANG GARDEN “ในดวงใจนิรันดร์” ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อ.เมือง จ.เชียงราย ในวันที่ 20 ธันวาคม 2568

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเทศกาลแจ๊สในสวนดอกไม้ JAZZ IN THE MAE FAH LUANG GARDEN “ในดวงใจนิรันดร์” วันที่ 20 ธันวาคม 2568 เวลา 16.00–18.00 น. ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

การแสดงครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Still on My Mind” เพื่อถ่ายทอดความคิดถึงและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณผ่านบทเพลงแจ๊ส โดยได้รับเกียรติจากคุณวาดิม ไอลีนครีก (Vadim Eilenkrig) นักทรัมเป็ตแจ๊สอันดับหนึ่งของรัสเซีย และวงไอลีนครีก (Eilenkrig Crew) ที่รวบรวมนักดนตรีแจ๊สระดับแนวหน้า สมาชิกวงประกอบด้วย Dmitry Ilugdin (เปียโน) Alexander Rodovskiy (กีตาร์) Armen Mkrtychyan (เบส) Vitaly Epov (กลอง) ผสานความโดดเด่นเฉพาะตัวของนักดนตรีแต่ละท่าน สู่บทเพลงอันทรงพลังในสไตล์แจ๊สร่วมสมัย ที่มีกลิ่นอายฟังก์และโซลเป็นเอกลักษณ์ของวง อีกทั้งยังมีศิลปินไทยจากภาคเหนือ ร่วมเปิดการแสดงก่อนเข้าสู่การแสดงหลักจากวงไอลีนครีก เพื่อสื่อสารความผูกพัน ความงดงามทางวัฒนธรรม และบรรยากาศอันอบอุ่นของอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงในช่วงฤดูหนาว ภายในงานยังมีพื้นที่บริการอาหารและเครื่องดื่มจำหน่าย รวมถึงโซนสำหรับนั่งชมการแสดงภายในศาลากลางสวนดอกไม้เพื่อมอบประสบการณ์การฟังดนตรีแจ๊สท่ามกลางธรรมชาติอย่างรื่นรมย์

ประวัติของวงไอเลินคริก

Eilenkrig Crew คือ วงดนตรีที่รวมดาวเด่นของวงการแจ๊สรัสเซียภายใต้การนำของ “วาดิม ไอเลินคริก” หนึ่งในนักทรัมเป็ตที่มีเสน่ห์ที่สุดของเจเนอเรชันนี้ ถือเป็นนักทรัมเป็ตแจ๊สอันดับหนึ่งชาวรัสเซียที่มีสไตล์การเล่นดนตรีเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว จนถูกขนานนามว่า “Chris Botti ของรัสเซีย” ปัจจุบันเป็นหัวหน้าวง Vadim Eilenkrig’s Orchestra หรือ Eilenkrig Crew นอกเหนือจากดนตรีแล้วยังทำหน้าที่เป็นพิธีกรและโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ยอดนิยมทางช่อง “Russia-K” (ช่องวัฒนธรรมและศิลปินเชิดชูเกียรติของสาธารณรัฐตาตาร์สถาน) ผู้ชนะรางวัล “นักดนตรีแห่งปี” จาก Radio Jazz 89.1 (2018) โดยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากเอกลักษณ์ทางดนตรี ความลุ่มลึกทางศิลปะ และพลังในการแสดงที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ในทุกเวที

ผลงานรวมถึงอัลบั้มโซโล 5 ชุด:

• The Shadow of Your Smile (2010)
• Eilenkrig (2012) — ขึ้นอันดับ #4 บนชาร์ต iTunes Top 200 Jazz ของรัสเซีย และอันดับ #1 บนชาร์ต Armenia Top 200 Tracks (ทุกแนวเพลง)
• 1000/1 (2016, รุ่นลิมิเต็ด)
• Point of View (2017)
• Pier 39 (2022)

ตั้งแต่ปี 2016 ไอเลินคริกดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเทศกาลเพลงตาตาร์ “Wind of Changes” (คาซาน) และตั้งแต่ปี 2019 เป็นผู้อำนวยการศิลป์ของเทศกาล “Jazz Summer with Eilenkrig” ในเดือนมกราคม 2024 เขาได้แสดงเดี่ยวที่ Carnegie Hall ในนิวยอร์ก หนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

งานทางโทรทัศน์ประกอบด้วย:

• พิธีกรรายการ “Big Jazz” ทางช่องโทรทัศน์ “Russia-Culture” (2013)
• ร่วมเป็นพิธีกรและหัวหน้าวงในรายการ “Dancing with the Stars” ทางช่อง “Russia-1” (2016)
• ตั้งแต่ปี 2018 เป็นพิธีกรและผู้ประพันธ์รายการดนตรี “Club Shabolovka, 37” ทางช่อง “Russia-Culture”

Eilenkrig ยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการประจำการแข่งขัน Nutcracker International Television Competition for Young Musicians หนึ่งในการแข่งขันดนตรีที่ได้รับความเคารพมากที่สุดในยุโรปตะวันออก

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: DoiTung Club
Instagram: doitung.official

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 


มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที MFLF Sustainability Forum 2025 เวทีเสวนาแห่งปี
กับธีม “วิกฤตโลก ทางออกไทย” ระดมความคิดนำเสนอทางออกยั่งยืนให้ประเทศไทยท่ามกลางวิกฤตโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด“วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale) โดยมี ท่านผู้หญิงบุตรี
วีระไวทยะ
 ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ 
หม่อมหลวง ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิฯ ตลอดจนผู้แทนจากภาครัฐ
ภาคเอกชน และชุมชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568

เวทีครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็น ทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก ผ่านการผสานความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน

งานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ
สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าโลกและไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน
ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การค้า และกฎระเบียบสากลที่เข้มขึ้น ขณะเดียวกันวิกฤตสิ่งแวดล้อม เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่ทั่วโลก กดดันเศรษฐกิจฐานรากของไทย แม้ป่าไม้ในประเทศลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุกจะปรับตัวไม่ทัน รายงาน IPCC ชี้ว่าการดำเนินงานด้านการเงินและการเชื่อมโยงชุมชนยังไม่พอ เน้นย้ำว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร. พิรุณ ยกมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ให้เห็นเป็นกรณีศึกษาว่า การอนุรักษ์ต้องควบคู่การใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลลัพธ์อย่างเป็นธรรม ด้านการค้า มาตรการ CBAM และ EUDR ของสหภาพยุโรปจะกระทบสินค้าส่งออกและรายได้ของประเทศ ส่วนตลาดคาร์บอนในไทยยังอ่อน จำเป็นต้องเชื่อมโยง T-VER กับภาคบังคับ และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป้าหมายสำคัญคือสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ออกกฎหมายและกองทุนภูมิอากาศเชื่อมตลาดคาร์บอนกับภาคบังคับ และกระจายประโยชน์สู่ประชาชน เพื่อให้ไทยก้าวสู่ net zero ปี 2050 ได้อย่างมั่นคง

หม่อมหลวงดิศปนัดดาดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึง
บทบาทสำคัญของชุมชนและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในวันนี้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงานหนักและความร่วมมือของชุมชน พร้อมเน้นว่าการอนุรักษ์และการป้องกันจะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน

โดยเน้นย้ำประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการขับเคลื่อนต่อไปว่า BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ การทำงานต่อไปต้องลงลึกกว่าการทำงานแบบเดิม และไม่มองเพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ต้องครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม รวมถึงเรื่อง well-being ซึ่งมีธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย นอกจากนี้ควรคว้าโอกาสจากปัญหา เราพร้อมหรือยังที่จะลงทุนด้าน nature credits เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง อย่างโครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนแสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน รวมถึงต้องมองระยะยาวแบบข้ามรุ่น เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เพียง 10–15 ปี แต่ต้องมองไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน และต้องหากฎเกณฑ์ใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนาที่ควรเป็นของชุมชน โดยภาคการเกษตรคือหัวใจ หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคการเกษตรจะสามารถสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง เนื่องจาก supply chain ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในประเทศเรา และที่สำคัญทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึง cost of action และ cost of inaction ว่าการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร

ต่อจากนั้นเป็นการเสวนาหลัก 3 ช่วง ได้แก่

ช่วงที่ 1 “วิกฤตโลก ทางออกไทย”
มีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคือ คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation
(BiOST) ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย และ ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โดยสะท้อนภาพรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนหลายคนมองว่าการขับเคลื่อนความยั่งยืนขัดกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เนื้อหาในการพูดคุยชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากเกิดการ
“รีบาลานซ์” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวเพื่อสร้าง S curve ใหม่ ลดต้นทุนของการไม่ทำ และใช้กลไก Public Private Partnership (PPP) กับระบบนิเวศที่เอื้อให้ภาคธุรกิจและชุมชนมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเน้นว่าการบริหารจัดการทรัพยากรควรเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ชุมชน คิดเชิงป้องกันมากกว่ารอแก้ไข และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติกว้าง ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ช่วงที่ 2 “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ”
มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ คุณณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
คุณทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) คุณนิรันดร์
นิรันดร์นุต Country Project Manager, UNDP BIOFIN และคุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผู้เสวนาย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ รวมถึงความจำเป็นของคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในฐานะตัวเชื่อมมนุษย์ คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม จึงต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวที่ไม่ใช่เพียงเป็นป่าไม้ แต่เป็นพื้นที่เขียวที่มีระบบนิเวศน์สมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าชุมชนที่สอดคล้องกับ SDGs และเป้าหมาย Net Zero ในขณะเดียวกัน การลงทุนนวัตกรรมทางการเงิน เช่น blended finance และการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน จะเปิดโอกาสสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งลดก๊าซเรือนกระจก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับชีวิตชุมชน พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจผนวกประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์สร้างมูลค่า โครงการป่าชุมชนจึงถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จของคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานสูงและการมีส่วนร่วมของชุมชน และยังเป็นสะพานไปสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ๆ เช่น biodiversity credit และ nature credit ที่กระจายโอกาสการพัฒนาไปยังพื้นที่ชนบท ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนกลายเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจ และกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติก็คือการรักษา และเพิ่มปริมาณความหลากหลายทางชีวภาพที่โลกกำลังสูญเสียไปอย่างมากให้กลับคืนมาเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่นต่อๆไป เพราะถ้าคนไม่รอด ป่าไม่รอด ธุรกิจก็ไม่รอด

ช่วงที่ 3 “เสวนาพิเศษ”
โดยมี คุณวิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ คุณทอน ใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และตัวแทนภาคธุรกิจ ไพบูล ตันกูล  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หุ้นส่วนและกรรมการบริษัท PwC Thailand ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของชุมชนที่ร่วมโครงการป่าชุมชน โดยย้ำว่าการดูแลป่าอย่างเป็นระบบช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันในทุกมิติ ชุมชนทั้งที่แม่โป่งและบ้านปี้มีคณะกรรมการและชาวบ้านทุกช่วงวัยร่วมกันวางกฎระเบียบ ใช้ประโยชน์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน จัดการแหล่งน้ำและเชื้อเพลิง ลดไฟป่า และต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น ทำจานใบไม้ ไม้กวาด น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชนจนเกิดกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่เป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนอื่นด้านภาคเอกชนมองว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน  จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการตรวจติดตามการเงิน เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

อีกวาระสำคัญภายในงาน คือพิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจาก 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน และตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่มูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมพร้อมส่งเสริมศักยภาพชุมชนในการรักษาป่าและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

การจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแห่งปีในการระดมความคิดและ                   ความร่วมมือ และร่วมหาทางออกด้านความยั่งยืน แต่ยังสะท้อนพันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่จะยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน โดยมีทั้งเวทีนี้
และกิจกรรมอื่นๆ เป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร
และประเทศ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดกิจกรรมปลูกป่าเสริมฟื้นฟูระบบนิเวศในจังหวัดเชียงราย สืบสานพระราชดำริและน้อมรำลึกถึง “สมเด็จย่า” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 18 กรกฎาคม ครบรอบ 30 ปี

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ครบรอบ 30 ปี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการสวรรคต ณ วัดพระแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย 

จากนั้น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับจังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีถวายพานขันดอกสักการะ ณ อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา กรรมการ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน และประชาชนในจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้นำกล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และประกอบพิธีถวายพานพุ่ม หน้าพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ สง่างาม และเปี่ยมด้วยความจงรักภักดี

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังได้จัดกิจกรรม “โครงการฟูื้นฟูและปรับสภาพป่า (ปลูกป่าเสริม) สืบสานพระราชดำริ พลิกฟื้นคืนป่าธรรมชาติดั้งเดิม” ณ พื้นที่บ้านป่ายาง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บนพื้นที่ฟื้นฟูกว่า 25 ไร่  

โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ชุมชนในพื้นที่ และภาคีเครือข่ายร่วมแรงร่วมใจปลูกกล้าไม้ท้องถิ่นหลากหลายชนิด เพื่อสืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนในระยะยาว

กิจกรรมทั้งหมดนี้มุ่งเน้นการ “ปลูกป่า” ควบคู่ไปกับการ “ปลูกคน” เพื่อสืบสานพระราชดำริของสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำของจังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นดินแดนต้นแบบที่เปี่ยมด้วยพลังของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาว