โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พื้นที่ปฏิบัติงาน FTP 33 “ปลูกป่า ปลูกคน คนไม่หิว ป่าไม่หาย”

ข้อมูลพื้นฐาน

ระยะเวลาดำเนินโครงการ

พ.ศ. 2548 – 2552

พื้นที่โครงการ

14,015 ไร่ หมู่บ้านปางมะหัน ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

ผู้รับประโยชน์

ประชากร 7,639 คน

ภาพรวมโครงการ

โครงการปลูกป่าในพื้นที่ชายแดนที่มีปัญหาเรื่องความยากจนและยาเสพติดแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดสำคัญที่ว่า ‘ปลูกป่า ปลูกคน’ ด้วยโมเดลการ ‘ปลูกป่าแบบปลูกเสริม’ ที่เน้นฟื้นฟูป่าโดยคัดเลือกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นมาปลูกเพิ่มเข้าไปในพื้นที่เดิม จึงไม่ต้องถางป่าเพื่อลงกล้าใหม่แบบในอดีต และยังมีการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ เมื่อชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน พวกเขาก็ไม่คิดกลับไปทำลายป่าอีกเลย

ชาวบ้านได้อะไร

รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของชุมชนเพิ่มขึ้นจาก

18,611 บาท

เป็น

106,382 บาท

ภายในเวลา 6 ปี
ตั้งแต่เริ่มโครงการจนทุกวันนี้ ไม่เคยมีไฟป่าเกิดขึ้นอีกเลย สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการปลูกฝังชุมชนให้มีใจรักป่า

โครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกชาน้ำมันและพืชน้ำมันอื่นๆ “พัฒนาพืชมูลค่าสูง สร้างรายได้ที่มั่นคง ให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน”

ข้อมูลพื้นฐาน

ระยะเวลาดำเนินโครงการ

พ.ศ. 2549 – ปัจจุบัน

พื้นที่โครงการ

46,739 ไร่ หมู่บ้านปางมะหัน และหมู่บ้านปูนะ ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

ผู้รับประโยชน์

ประชากร 3,489 คน
จาก 621 ครัวเรือน

ภาพรวมโครงการ

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา ศึกษาและทดลองปลูกชาน้ำมัน ในพื้นที่หมู่บ้านปางมะหันและหมู่บ้านปูนะ อำเภอแม่ฟ้าหลวง โดยให้ชาวบ้านในชุมชนเป็นผู้ดูแล เพื่อวางรากฐานการประกอบอาชีพที่มั่นคงในระยะยาว ควบคู่ไปกับการรักษาระบบนิเวศป่าไม้ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเน้นการ ‘ปลูกป่าแบบไม่ปลูก’ ให้ป่าฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ด้วยตัวเอง ทั้งยังมีการพัฒนาระบบน้ำ ส่งเสริมการเกษตรและปศุสัตว์พื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน

ชาวบ้านได้อะไร

รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก

59,860 บาท

เป็น

212,728 บาท

ในเวลา 13 ปี
ต้นชาน้ำมันทั้งหมด 629,991 ต้น สร้างรายได้จากการดูแลแปลงชา

133,380,000 บาท

และรายได้จากการขายผลผลิตเมล็ดชาน้ำมันตั้งแต่ปี 2554 คิดเป็นมูลค่า

11,665,825 บาท

โครงการกล้า..ดี : ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ประสบอุทกภัยอย่างยั่งยืน “สร้างต้นทุนเพื่อฝ่าฟันวิกฤต ด้วยวิถีพอเพียง”

ข้อมูลพื้นฐาน

ระยะเวลาดำเนินโครงการ

พ.ศ. 2554 – 2555

พื้นที่โครงการ

พื้นที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางรวม 13 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม นครนายก ปทุมธานี และนนทบุรี

ผู้รับประโยชน์

ระยะที่ 1-2 : ประชากร 1,075,461 คน จาก 3,456 หมู่บ้านใน 13 จังหวัด

ระยะที่ 3 : ประชากร 61,195 คน จาก 16,971 ครัวเรือน

ภาพรวมโครงการ

ในปี 2554 ที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ ความเดือดร้อนกระจายไปทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางรวม 13 จังหวัด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จึงร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ช่วยฟื้นฟูผู้ประสบภัยด้วยการมอบปัจจัยดำรงชีพ ได้แก่ เครื่องปรุงของแห้งพร้อมกิน ต้นกล้าผักสวนครัวโตไวพร้อมปลูกที่สามารถเก็บผลผลิตกินได้ภายใน 2-3 วัน และเมล็ดพันธุ์พร้อมเพาะ เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยสามารถนำไปสร้างรายได้ด้วยตัวเองตามวิถีพอเพียง เป็นแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่คิดนอกกรอบไปไกลกว่าการสนับสนุนปัจจัยดำรงชีพเฉพาะหน้า

ชาวบ้านได้อะไร

ผู้ประสบภัยสามารถลดรายจ่ายได้โดยเฉลี่ย

341 บาท/ครัวเรือน

 
และยังสามารถเพิ่มรายได้อีก

3,107 บาทต่อครัวเรือน

จากการนำผลผลิตไปขายภายใน 5 เดือน
หลังจากปัญหาอุทกภัยผ่านพ้นไปแล้ว ได้มีการต่อยอดกิจกรรมต่างๆ เป็นโครงการระยะยาว เช่น โครงการแปลงเกษตรเพื่ออาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน หรือโครงการส่งเสริมไม้ผลให้แก่ชาวบ้านในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

โครงการปลูกป่า สร้างคน บนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย จังหวัดน่าน

ข้อมูลพื้นฐาน

ระยะเวลาดำเนินโครงการ

พ.ศ. 2556 – 2560

พื้นที่โครงการ

250,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 21 หมู่บ้าน 4 ตำบล 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอท่าวังผา, อำเภอสองแคว และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน

ผู้รับประโยชน์

1,723 ครัวเรือน 7,392 คน

ภาพรวมโครงการ

โครงการนี้เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดน่าน ตามแนวพระราชดำริ ซึ่งดำเนินการในปี 2552-2554 โดยหลังจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และหน่วยงานพันธมิตรสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนและปากท้องสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว งานต่อมาก็คือการส่งเสริมให้ชุมชนฟื้นฟูป่าและบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างสมดุล เพื่อให้คนและป่าสามารถอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน และกลายเป็นต้นแบบระดับประเทศในการจัดการพื้นที่ป่าไม้ภาคเหนือ โดยมีการแบ่งพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพื่อรักษาต้นน้ำและทุนทางธรรมชาติ ปลูกป่าเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ ปลูกป่าใช้สอยเพื่อเป็นแหล่งอาหารที่ทำกินและที่อยู่อาศัย เมื่อชาวบ้านเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของป่า พวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยคำนึงถึงความยั่งยืนและช่วยกันดูแลผืนป่าอย่างแข็งขัน

ชาวบ้านได้อะไร

โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดน่าน ตามแนวพระราชดำริ “บูรณาการ ความร่วมมือ พัฒนาเชิงพื้นที่ วางรากฐานสู่การรักษาป่าต้นน้ำ”

ข้อมูลพื้นฐาน

ระยะเวลาดำเนินโครงการ

พ.ศ. 2552 – 2554

พื้นที่โครงการ

250,00 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 21 หมู่บ้าน 4 ตำบล 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอท่าวังผา, อำเภอสองแคว และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน

ผู้รับประโยชน์

ประชากร 7,392 คน จาก 1,723 ครัวเรือน

ภาพรวมโครงการ

เดิมทีพื้นที่กว่า 250,000 ไร่บริเวณต้นน้ำน่านประสบปัญหาป่าเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จึงร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริดำเนินโครงการต้นแบบในจังหวัดน่าน โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชน เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาการบุกรุกป่า การปลูกพืชเชิงเดี่ยว การใช้สารเคมี และภัยธรรมชาติ โดยกลไกสำคัญที่ใช้แก้ปัญหาคือการปรับปรุงคุณภาพดินและขุดนาขั้นบันได เพื่อทำให้ได้พื้นที่ป่ากลับคืนมาและเพิ่มผลผลิตให้แก่ชาวบ้านไปพร้อมๆ กัน

ชาวบ้านได้อะไร

การพัฒนาคุณภาพดินและระบบชลประทานช่วยเพิ่มพื้นที่รับน้ำในโครงการจาก

2,121 ไร่


เป็น

5,901 ไร่

ภายในเวลา 3 ปี
ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจากปีละ

868,920 กิโลกรัม


เป็น

2,821,880 กิโลกรัม

ภายในเวลา 3 ปี ทำให้มีข้าวพอกินและเหลือพอจำหน่าย สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 26,911,200 บาท
พืชสวนครัว พืชหลังนา และปศุสัตว์ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชนถึง

30,670,998 บาท

และชำระหนี้สินได้บางส่วน
เกิดอาสาพัฒนาชุมชนขึ้น

52 คน

ทำงานส่งเสริมการพัฒนาทั้งในหมู่บ้านของตนและพื้นที่อื่นๆ

โครงการสำรวจข้อมูลผู้หนีภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และกิจกรรมพัฒนาศักยภาพหนีภัยต่างๆ

ข้อมูลพื้นฐาน

ระยะเวลาดำเนินโครงการ

พ.ศ. 2556 – 2561

พื้นที่โครงการ

ศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย – เมียนมา 9 ศูนย์

ผู้รับประโยชน์

ประชากร 109,992 คน จาก 20,797 ครัวเรือน

ภาพรวมโครงการ

ปี 2556 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับการทาบทามจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้สำรวจข้อมูลผู้หนีภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาทั้ง 9 ศูนย์ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และแผนในอนาคตของผู้หนีภัย ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเรื่องการเตรียมการสำหรับผู้หนีภัยเสนอต่อรัฐบาลไทยและเมียนมา UNHCR และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังมีส่วนร่วมดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมทักษะและเตรียมความพร้อมให้ผู้หนีภัยสามารถกลับไปตั้งถิ่นฐานในบ้านเกิดได้อย่างยั่งยืน

ชาวบ้านได้อะไร

ผู้หนีภัยรวม

109,992 คน

ในศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาทั้ง 9 ศูนย์ ได้ให้ข้อมูลความต้องการ และแผนในอนาคตของตน
ผู้หนีภัย

1,990 คน

ได้รับบริการด้านสุขภาพ
ผู้หนีภัย

263 คน

เข้าร่วมการอบรม/ศึกษาดูงาน เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการกลับไปตั้งถิ่นฐานในมาตุภูมิ